คลังแบงก์ชาติ ลงความเห็นเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจไทยหลังเลือกตั้งจะยังคงเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารหรือไม่ แต่อาจจะปรับทิศทางโดยเน้นความสำคัญของรากฐานและสังคมวิทยาการมากขึ้น คาดว่าตามภาวะการดังกล่าวเศรษฐกิจในประเทศน่าจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6 ของตัวเลขเศรษฐกิจเดิม
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวในงานสัมมนา เรื่อง “เศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง ไปทางไหน” ว่า ภาวะเศรษฐกิจในปี 48 น่าจะขยายตัวเฉลี่ยที่ร้อยละ 6 โดยการลงทุนของภาครัฐและเอกชนยังเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ รวมทั้งการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดี แม้จะมีปัญหาเรื่องการขาดดุลการค้า แต่ดุลบัญชีเดินสะพัดก็ยังเป็นบวกประมาณร้อยละ 2 ส่วนฐานะทางการคลังยังมั่นคงและไม่น่ามีปัญหา ถึงแม้จะมีปัญหาเงินเฟ้อกระทบเพิ่มขึ้น และหากทิศทางเป็นอย่างนี้ รวมทั้งการปรับทิศทางของภาคเอกชนแล้ว จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดี และการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจต่อไปหลังการเลือกตั้งจะต้องให้ความสำคัญในการปรับจุดเน้นลงสู่เศรษฐกิจฐานราก เพราะไม่ว่ารัฐบาลไหนจะเข้ามาบริหารก็จะเน้นความสำคัญดูแลฐานรากมากขึ้น เพราะรัฐบาลยังมีพลังในการใช้จ่ายโดยอาศัยกลไกด้านต่าง ๆ และนโยบายก็จะเริ่มเปลี่ยนไปสู่สังคมการวิทยาการมากขึ้น ในการพัฒนาคุณภาพแรงงาน การศึกษา การวิจัย
สำหรับรายได้ของรัฐบาลนั้นไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจากมีการขยายตัวในอัตราสูงมาก เห็นได้จากภาษีกรมสรรพากร ขยายถึงร้อยละ 15 ในปี 46 และปี 47 ขยายตัวร้อยละ 23 ขยายตัวสูงกว่าเศรษฐกิจโดยรวมที่อยู่ประมาณร้อยละ 6-7 แม้จะรวมเงินเฟ้อก็ไม่เกินร้อยละ 10 เพราะในปี 2548 เพียง 2 เดือนแรก ก็ขยายถึงร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ยังมีการใช้จ่ายเงินลงทุนสู่ระบบด้วย เมกะโปรเจคท์ 1.5 ล้านล้านบาท ในช่วงปี 2548-2551 ซึ่งเป็นทั้งตัวกระตุ้นและกระทบต่อเศรษฐกิจด้วย โดยจะมีการลงทุนด้านคมนาคมร้อยละ 50 ประมาณ 760,000 ล้านบาท ส่วนด้านพลังงานและอสังหาริมทรัพย์ใช้เงินประมาณ 1 ใน 3 ของยอดทั้งหมด ซึ่งแหล่งเงินทุนมาจากทั้ง ภาครัฐ เอกชน รายได้ของรัฐวิสาหกิจ การระดมทุนจากตลาดเงินตลาดทุน และการจัดทำงบประมาณของรัฐบาลในปี 2551 วางกรอบไว้ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งเท่ากับการลงทุนในเมกะโปรเจคท์
ด้าน ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจในขณะนี้มีแนวโน้มที่ดี ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็สามารถบริหารได้อย่างสบายใจ ถึงแม้การบริโภคในช่วง 2 ปีก่อน ซึ่งเคยเป็นพระเอกในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีการขยายตัวร้อยละ 6 และครึ่งปีหลังของปี 47 เริ่มขยายตัวร้อยละ 4 ซึ่งเป็นระดับที่ไม่น่าเป็นห่วง และการเลือกพรรคใดเข้ามาบริหาร ควรดูที่การเสนอนโยบายด้านอุปทาน เช่น การเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ การเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตอุตสาหกรรม และภาคการเกษตร การพัฒนาด้านการศึกษา แต่ปรากฏว่าไม่มีพรรคใดเสนอนโยบายที่ชัดเจนในการให้ความสำคัญด้านนี้
ส่วนการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนั้นจะต้องทยอยปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยให้สอดคล้องกันทั้งสภาพคล่องในระบบที่เริ่มลดลงแล้ว และการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งขยายตัวประมาณร้อยละ 11 ซึ่งเป็นทิศทางในการปรับลดดอกเบี้ย เพราะขณะนี้การออมทั้งหมด ทั้งภาครัฐและเอกชนยังสูงกว่ายอดการลงทุน ดุลบัญชีเดินสะพัดยังเป็นบวก ถ้าปล่อยให้การออมลดลง และยอดการลงทุนเพิ่ม ดุลบัญชีเดินสะพัดจะเป็นลบ ดังนั้น จึงต้องดูให้มีดุลยภาพ ซึ่งจะไม่ดี ดังนั้น ในช่วงเวลา 3 ปี จะทยอยปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยแต่จะไม่สูงถึงประมาณร้อยละ 2 หรือสูงเกินไป เพราะอาจเป็นปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะ ธปท.ใช้อัตราเบี้ยต่ำในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 2 ปีก่อนแล้ว
สำหรับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวยอมรับในแนวคิดที่ว่าอาจจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินของฝั่งนิวยอร์ก และได้เตรียมมาตรการที่จะรองรับไว้แล้ว หากความผันผวนทางการเงิน และอัตราแลกเปลี่ยนที่ว่าจะกระทบกับประเทศไทย โดยในขณะนี้ประเทศไทยมีทุนสำรองทางการสูงถึง 48,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่มีไว้มากก็เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นดังกล่าว โดย ธปท.จะดำเนินนโยบายให้ค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่แข่งขันทางการค้าได้ในตลาดโลก
นางปราณี ทินกร คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เห็นว่านายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงของประเทศ เพราะการใช้ความสำเร็จในการบริหารงานแบบเอกชน มาบริหารประเทศอาจมีความเสี่ยง เพราะการบริหารประเทศซึ่งเป็นนโยบายสาธารณะต้องสร้างความสุข ความมั่นคงให้กับประชาชนในประเทศ แต่การบริหารของงานบริษัทได้เน้นการแสวงหากำไรเพียงอย่างเดียว และมองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2548 จะยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นอยู่ แต่จะชะลอตัวลงบ้าง และยังต้องพึ่งพาการส่งออกและปัจจัยการเติบโตจากการใช้จ่ายภายนอกอยู่ ดังนั้นในการวัดอัตราการเจริญเติบโตของประเทศจึงจำเป็นที่จะต้องดูจากปัจจัยภายนอกทั้งเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าและของโลกด้วย และหากมองในอนาคตแล้ว จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของไทย รวมทั้งประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ จะมีอัตราการเจริญเติบโตลดลง เนื่องจากการค้าของโลกจะลดลง ส่วนราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยจะมีส่วนในการชะลอเศรษฐกิจด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะส่งผลให้ประเทศไทยมีอัตราการเจริญเติบโตที่ลดลงด้วย เพราะประเทศไทยยังคงพึ่งพาการใช้จ่ายภายนอกอยู่
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวในงานสัมมนา เรื่อง “เศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง ไปทางไหน” ว่า ภาวะเศรษฐกิจในปี 48 น่าจะขยายตัวเฉลี่ยที่ร้อยละ 6 โดยการลงทุนของภาครัฐและเอกชนยังเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ รวมทั้งการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดี แม้จะมีปัญหาเรื่องการขาดดุลการค้า แต่ดุลบัญชีเดินสะพัดก็ยังเป็นบวกประมาณร้อยละ 2 ส่วนฐานะทางการคลังยังมั่นคงและไม่น่ามีปัญหา ถึงแม้จะมีปัญหาเงินเฟ้อกระทบเพิ่มขึ้น และหากทิศทางเป็นอย่างนี้ รวมทั้งการปรับทิศทางของภาคเอกชนแล้ว จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดี และการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจต่อไปหลังการเลือกตั้งจะต้องให้ความสำคัญในการปรับจุดเน้นลงสู่เศรษฐกิจฐานราก เพราะไม่ว่ารัฐบาลไหนจะเข้ามาบริหารก็จะเน้นความสำคัญดูแลฐานรากมากขึ้น เพราะรัฐบาลยังมีพลังในการใช้จ่ายโดยอาศัยกลไกด้านต่าง ๆ และนโยบายก็จะเริ่มเปลี่ยนไปสู่สังคมการวิทยาการมากขึ้น ในการพัฒนาคุณภาพแรงงาน การศึกษา การวิจัย
สำหรับรายได้ของรัฐบาลนั้นไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจากมีการขยายตัวในอัตราสูงมาก เห็นได้จากภาษีกรมสรรพากร ขยายถึงร้อยละ 15 ในปี 46 และปี 47 ขยายตัวร้อยละ 23 ขยายตัวสูงกว่าเศรษฐกิจโดยรวมที่อยู่ประมาณร้อยละ 6-7 แม้จะรวมเงินเฟ้อก็ไม่เกินร้อยละ 10 เพราะในปี 2548 เพียง 2 เดือนแรก ก็ขยายถึงร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ยังมีการใช้จ่ายเงินลงทุนสู่ระบบด้วย เมกะโปรเจคท์ 1.5 ล้านล้านบาท ในช่วงปี 2548-2551 ซึ่งเป็นทั้งตัวกระตุ้นและกระทบต่อเศรษฐกิจด้วย โดยจะมีการลงทุนด้านคมนาคมร้อยละ 50 ประมาณ 760,000 ล้านบาท ส่วนด้านพลังงานและอสังหาริมทรัพย์ใช้เงินประมาณ 1 ใน 3 ของยอดทั้งหมด ซึ่งแหล่งเงินทุนมาจากทั้ง ภาครัฐ เอกชน รายได้ของรัฐวิสาหกิจ การระดมทุนจากตลาดเงินตลาดทุน และการจัดทำงบประมาณของรัฐบาลในปี 2551 วางกรอบไว้ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งเท่ากับการลงทุนในเมกะโปรเจคท์
ด้าน ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจในขณะนี้มีแนวโน้มที่ดี ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็สามารถบริหารได้อย่างสบายใจ ถึงแม้การบริโภคในช่วง 2 ปีก่อน ซึ่งเคยเป็นพระเอกในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมีการขยายตัวร้อยละ 6 และครึ่งปีหลังของปี 47 เริ่มขยายตัวร้อยละ 4 ซึ่งเป็นระดับที่ไม่น่าเป็นห่วง และการเลือกพรรคใดเข้ามาบริหาร ควรดูที่การเสนอนโยบายด้านอุปทาน เช่น การเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ การเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตอุตสาหกรรม และภาคการเกษตร การพัฒนาด้านการศึกษา แต่ปรากฏว่าไม่มีพรรคใดเสนอนโยบายที่ชัดเจนในการให้ความสำคัญด้านนี้
ส่วนการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนั้นจะต้องทยอยปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยให้สอดคล้องกันทั้งสภาพคล่องในระบบที่เริ่มลดลงแล้ว และการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งขยายตัวประมาณร้อยละ 11 ซึ่งเป็นทิศทางในการปรับลดดอกเบี้ย เพราะขณะนี้การออมทั้งหมด ทั้งภาครัฐและเอกชนยังสูงกว่ายอดการลงทุน ดุลบัญชีเดินสะพัดยังเป็นบวก ถ้าปล่อยให้การออมลดลง และยอดการลงทุนเพิ่ม ดุลบัญชีเดินสะพัดจะเป็นลบ ดังนั้น จึงต้องดูให้มีดุลยภาพ ซึ่งจะไม่ดี ดังนั้น ในช่วงเวลา 3 ปี จะทยอยปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยแต่จะไม่สูงถึงประมาณร้อยละ 2 หรือสูงเกินไป เพราะอาจเป็นปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะ ธปท.ใช้อัตราเบี้ยต่ำในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 2 ปีก่อนแล้ว
สำหรับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวยอมรับในแนวคิดที่ว่าอาจจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินของฝั่งนิวยอร์ก และได้เตรียมมาตรการที่จะรองรับไว้แล้ว หากความผันผวนทางการเงิน และอัตราแลกเปลี่ยนที่ว่าจะกระทบกับประเทศไทย โดยในขณะนี้ประเทศไทยมีทุนสำรองทางการสูงถึง 48,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่มีไว้มากก็เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นดังกล่าว โดย ธปท.จะดำเนินนโยบายให้ค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่แข่งขันทางการค้าได้ในตลาดโลก
นางปราณี ทินกร คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เห็นว่านายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงของประเทศ เพราะการใช้ความสำเร็จในการบริหารงานแบบเอกชน มาบริหารประเทศอาจมีความเสี่ยง เพราะการบริหารประเทศซึ่งเป็นนโยบายสาธารณะต้องสร้างความสุข ความมั่นคงให้กับประชาชนในประเทศ แต่การบริหารของงานบริษัทได้เน้นการแสวงหากำไรเพียงอย่างเดียว และมองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2548 จะยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นอยู่ แต่จะชะลอตัวลงบ้าง และยังต้องพึ่งพาการส่งออกและปัจจัยการเติบโตจากการใช้จ่ายภายนอกอยู่ ดังนั้นในการวัดอัตราการเจริญเติบโตของประเทศจึงจำเป็นที่จะต้องดูจากปัจจัยภายนอกทั้งเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าและของโลกด้วย และหากมองในอนาคตแล้ว จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของไทย รวมทั้งประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ จะมีอัตราการเจริญเติบโตลดลง เนื่องจากการค้าของโลกจะลดลง ส่วนราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยจะมีส่วนในการชะลอเศรษฐกิจด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะส่งผลให้ประเทศไทยมีอัตราการเจริญเติบโตที่ลดลงด้วย เพราะประเทศไทยยังคงพึ่งพาการใช้จ่ายภายนอกอยู่


