xs
xsm
sm
md
lg

“ฟิลิป เออเบอรี่” หัวเรือใหม่เนสท์เล่ไอศกรีม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมาธุรกิจไอศกรีมของบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ได้เปลี่ยนหัวเรือในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปใหม่ จากนายฮานส์-อูริค เมเยอร์ มาเป็นนายฟิลิฟ เออเบอรี่ ถือเป็นการเปลี่ยนม้ากลางสายน้ำเชี่ยว เนื่องจากว่าตลาดไอศกรีมยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่แข่งขันรุนแรง จากผู้เล่นรายใหญ่ 4 รายคือ เนสท์เล่ วอลล์ ครีโม แมกโนเลีย


การเปลี่ยนขุนศึกในยามนี้ ถือเป็นเรื่องที่น่าจับตามองพอสมควร ว่านายใหม่จะนำพาธุรกิจไอศกรีมที่เป็นเรือธงอย่างหนึ่งของเนสท์เล่ในไทยรุกตลาดอย่างไร บนความท้าทายจากคู่แข่ง

เหตุผลหลักที่เนสท์เล่ดันนายฟิลิปขึ้นเบอร์หนึ่งของไอศกรีมตามคำอธิบายของนายฮานส์-อูริค เมเยอร์คือ “ผมคิดว่า ฟิลิป เออเบอรี่ ถือเป็นสุดยอดผู้บริหารคนหนึ่งที่มีประสบการณ์กว้างขวางทั้งในเรื่องของธุรกิจของเนสท์เล่ไอศกรีม และการตลาดในไทย ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ในฐานะรองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและขายตรง มีบทบาทในการผลักดันให้เนสท์เล่เติบโตอย่างเห็นได้ชัดในไทย มีประสบการณ์ยาวนานในตำแหน่งหน้าที่การงานดูแลเนสท์เล่ไอศกรีมในหลายประเทศ เป็นคนคล่องแคล่ว ฉับไว มีทักษะของความเป็นผู้นำที่ดี ผมมั่นใจว่าภายใต้การบริหารของนายฟิลิปจะสามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่อง”

สำหรับประวัติที่น่าสนใจของนายฟิลิป เออเบอรี่นั้น เป็นคนสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเริ่มต้นการทำงานกับบริษัท เนสท์เล่ ด้วยตำแหน่งตัวแทนฝ่ายขายในประเทศสเปน เมื่อปี 2535-2537 หลังจากนั้นได้ย้ายมาดูแลด้านการวางแผนสื่อโฆษณาจนถึงปี 2538 และได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการผลิตภัณฑ์ไอศกรีมเนสท์เล่ ในประเทศอียิปต์เป็นเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปี 2538 – ปลายปี 2541 ก่อนหน้าที่จะย้ายมาร่วมงานกับ เนสท์เล่ ประเทศไทย นั้น นายฟิลิปได้ร่วมงานที่เนสท์เล่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นเวลา 2 ปี ในตำแหน่งผู้จัดการอาวุโสผลิตภัณฑ์ไอศกรีม

ความเห็นของนายฟิลิปในการทำตลาดไอศกรีมในเมืองไทยจากนี้ไปนั้น เขามองว่า ประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เพราะการบริโภคไอศกรีมของคนไทยยังต่ำมาก แค่ 1.5 ลิตรต่อคนต่อปีเท่านั้น ขณะที่ ประเทศอเมริกาที่เป็นเมืองหนาวยังบริโภคมากถึง 24 ลิตรต่อคนต่อปีเลยทีเดียว แต่ปัญหาหลักคือ จะทำอย่างไรให้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยให้ทานไอศกรีมมากขึ้นให้ได้ เหมือนกับสแน็คที่คนไทยชอบทานเล่นและเป็นตลาดใหญ่ด้วย

เขามั่นใจว่าตรงนี้ไม่น่าจะยาก เพราะ เนสท์เล่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมแทบทุกเซ็กเม้นท์แล้ว เพียงแต่ว่าต้องทำการตลาดมากขึ้น รวมทั้งการเพิ่มช่องทางจำหน่ายให้มากขึ้น ถึงกลุ่มผู้บริโภคแบบถึงตัว ซึ่งที่ผ่านมาเนสท์เล่ได้พิสูจน์แล้วว่าแนวทางนี้ถูกต้อง เช่น การจับมือกับสหพัฒน์ฯหรือการจับมือกับดีแทค เพื่อเป็นการขยายฐานช่องทางการจำหน่าย เพิ่มขึ้น ด้วยการผ่านทางร้านค้ายี่ปั๊วซาปั๊วของสหพัฒน์เป็นต้น

ปัจจุบันเนสท์เล่ไอศกรีมมีส่วนแบ่งการตลาด 38% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 40% ภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่ตลาดรวมไอศกรีมมีการเติบโตประมาณ 7-10% สิ่งหนึ่งที่นายฟิลิปยังคงยึดมั่นดำเนินต่อไปก็คือ ปฎิบัติการสีฟ้าหรือ BLUE MISSION ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่มุ่งสร้างนวัตกรรมใหม่ๆให้แก่ตัวผลิตภัณฑ์ กิจกรรมทางการตลาด และขยายช่องทางจำหน่ายให้เข้าถึงผู้บริโภคมากที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น