กรมพัฒนาที่ดินจัดสรรงบประมาณอีก 307 ล้านบาท เพื่อใช้พัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้เป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดของโลก โดยสนับสนุนเกษตรกรใช้ปุ๋ยพืชสด หญ้าแฝก และสารเร่ง พด.1-7 ทดแทนปุ๋ยและสารเคมี พร้อมปรับปรุงพื้นที่นา และบำรุงดินกว่า 500,000 ไร่ หวังเพิ่มผลผลิตข้าวให้ได้ 470 กิโลกรัม/ไร่ ในปี 50
นายอรรถ สมร่าง อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เปิดเผยว่า ข้าวหอมมะลิถือเป็นข้าวที่ขึ้นชื่อของไทย อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักและยอมรับของต่างประเทศ โดยแต่ละปีมีการส่งออกสูงประมาณ 1.2 ล้านตัน ช่วยทำรายได้เข้าประเทศถึง 24,000 ล้านบาท ซึ่งแหล่งผลิตที่สำคัญส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเป็นร้อยละ 82 ของพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิทั้งหมด โดยเฉพาะในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้มีพื้นที่มีศักยภาพในการผลิตข้าวหอมมะลิถึง 1.27 ล้านไร่ ครอบคลุมพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัด คือ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม และยโสธร
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ยังประสบปัญหาประสิทธิภาพในการผลิตต่ำ เนื่องจากมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำและมีปัจจัยการผลิตไม่เพียงพอ ดังนั้น กรมพัฒนาที่ดินจึงได้เข้าไปปรับปรุงพื้นที่นา เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตให้แก่เกษตรกรมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2520 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน รวมพื้นที่ทั้งสิ้น 761,480 ไร่ สามารถยกระดับผลผลิตข้าวหอมมะลิจากเดิมเฉลี่ย 252 กิโลกรัมต่อไร่ เป็น 388 กิโลกรัมต่อไร่
ด้านนายทรงศักดิ์ วงศ์ภูมิวัฒน์ รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า ปีงบประมาณ 2548 กรมพัฒนาที่ดินได้จัดสรรงบประมาณอีกจำนวน 307 ล้านบาท เพื่อพัฒนาและปรับปรุงพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้เพิ่มเติม โดยเน้นใน 4 กิจกรรมหลัก ได้แก่ การปรับปรุงพื้นที่นาเพื่อก่อสร้างระบบอนุรักษ์ดินและน้ำให้กับเกษตรกรสามารถนำน้ำมาใช้ในพื้นที่ปลูกข้าวได้อย่างเหมาะสม 40,000 ไร่ ปรับปรุงบำรุงดินโดยใช้พืชปุ๋ยสดเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน 400,000 ไร่ สำรวจและออกแบบปรับปรุงพื้นที่นาเพื่อขยายพื้นที่ก่อสร้างในปีต่อไป 140,000 ไร่ และบำรุงรักษาระบบปรับปรุงพื้นที่นาเพื่อให้เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์ 34,800 ไร่ โดยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มผลผลิตข้าวหอมมะลิให้ได้ 470 กิโลกรัมต่อไร่ ในปี 2550
นายทรงศักดิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากกรมพัฒนาที่ดินจะเข้าไปปรับปรุงพื้นที่นาเพื่อให้มีศักยภาพในการผลิตข้าวหอมมะลิที่ดีแล้ว ยังเน้นให้เกษตรกรมีการใช้สารเร่ง พด. 1-7 หญ้าแฝก และเมล็ดพันธุ์ปุ๋ยพืชสด เช่น โสนอัฟริกัน ถั่วพร้า ถั่วพุ่ม เพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมี ทำให้ทุ่งกุลาร้องไห้เป็นพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค สนับสนุนวาระแห่งชาติว่าด้วยเกษตรอินทรีย์ และสนองนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันให้ไทยเป็นครัวของโลกในอนาคตด้วย
นายอรรถ สมร่าง อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เปิดเผยว่า ข้าวหอมมะลิถือเป็นข้าวที่ขึ้นชื่อของไทย อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักและยอมรับของต่างประเทศ โดยแต่ละปีมีการส่งออกสูงประมาณ 1.2 ล้านตัน ช่วยทำรายได้เข้าประเทศถึง 24,000 ล้านบาท ซึ่งแหล่งผลิตที่สำคัญส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเป็นร้อยละ 82 ของพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิทั้งหมด โดยเฉพาะในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้มีพื้นที่มีศักยภาพในการผลิตข้าวหอมมะลิถึง 1.27 ล้านไร่ ครอบคลุมพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัด คือ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม และยโสธร
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ยังประสบปัญหาประสิทธิภาพในการผลิตต่ำ เนื่องจากมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำและมีปัจจัยการผลิตไม่เพียงพอ ดังนั้น กรมพัฒนาที่ดินจึงได้เข้าไปปรับปรุงพื้นที่นา เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตให้แก่เกษตรกรมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2520 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน รวมพื้นที่ทั้งสิ้น 761,480 ไร่ สามารถยกระดับผลผลิตข้าวหอมมะลิจากเดิมเฉลี่ย 252 กิโลกรัมต่อไร่ เป็น 388 กิโลกรัมต่อไร่
ด้านนายทรงศักดิ์ วงศ์ภูมิวัฒน์ รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า ปีงบประมาณ 2548 กรมพัฒนาที่ดินได้จัดสรรงบประมาณอีกจำนวน 307 ล้านบาท เพื่อพัฒนาและปรับปรุงพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้เพิ่มเติม โดยเน้นใน 4 กิจกรรมหลัก ได้แก่ การปรับปรุงพื้นที่นาเพื่อก่อสร้างระบบอนุรักษ์ดินและน้ำให้กับเกษตรกรสามารถนำน้ำมาใช้ในพื้นที่ปลูกข้าวได้อย่างเหมาะสม 40,000 ไร่ ปรับปรุงบำรุงดินโดยใช้พืชปุ๋ยสดเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน 400,000 ไร่ สำรวจและออกแบบปรับปรุงพื้นที่นาเพื่อขยายพื้นที่ก่อสร้างในปีต่อไป 140,000 ไร่ และบำรุงรักษาระบบปรับปรุงพื้นที่นาเพื่อให้เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์ 34,800 ไร่ โดยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มผลผลิตข้าวหอมมะลิให้ได้ 470 กิโลกรัมต่อไร่ ในปี 2550
นายทรงศักดิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากกรมพัฒนาที่ดินจะเข้าไปปรับปรุงพื้นที่นาเพื่อให้มีศักยภาพในการผลิตข้าวหอมมะลิที่ดีแล้ว ยังเน้นให้เกษตรกรมีการใช้สารเร่ง พด. 1-7 หญ้าแฝก และเมล็ดพันธุ์ปุ๋ยพืชสด เช่น โสนอัฟริกัน ถั่วพร้า ถั่วพุ่ม เพื่อทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมี ทำให้ทุ่งกุลาร้องไห้เป็นพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค สนับสนุนวาระแห่งชาติว่าด้วยเกษตรอินทรีย์ และสนองนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันให้ไทยเป็นครัวของโลกในอนาคตด้วย