ททท.ฝันใช้งานบางกอกฟิล์มดันไทยขึ้นศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในเอเชียและในโลก คุยฟุ้งผลจากการจัดงานบางกอกฟิล์มครั้งที่ 2 เมื่อ ม.ค. 47 ส่งผลกองถ่ายหนังต่างชาติแห่เข้าใช้โลเกชั่นประเทศไทยในการถ่ายทำกว่า 1,200 กองถ่าย ใช้เงินเฉลี่ยกองถ่ายละ 50-300 ล้านบาท ส่งผลเงินสะพัดกระเป๋าคนไทย ทั้งแรงงานรับจ้าง โรงแรม และร้านอาหาร
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รอนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการฝ่ายอำนวยการจัดงาน เปิดเผยว่า ทางรัฐบาลได้ส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี 2548 (บางกอกฟิล์ม) ครั้งที่ 3 ขึ้นในวันที่ 13-24 มกราคม 2548 เนื่องจากเห็นว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์เป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ รวมถึงสามารถพัฒนาให้ภาพยนตร์เป็นสินค้าส่งออกนำรายได้เข้าประเทศได้ด้วย
รองนายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลต้องการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์นานาชาติ รวมถึงการรับเทคโนโลยีการสร้างภาพยนตร์มาพัฒนานอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศไทย
นอกจากนั้นยังได้ประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยด้วย โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทยที่มีการส่งออกไปฉายในต่างประเทศ และการที่มีกองถ่ายจากต่างประเทศเข้ามาใช้พื้นที่ถ่ายทำในประเทศไทยนั้น จะเป็นตัวกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาเมืองไทยเป็นไปตามเป้าหมาย 20 ล้านคน ภายในปี 2551 และสร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวมูลค่ากว่า 7 แสนล้านบาท
นางจุฑามาศ ศิริวรรณ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)เปิดเผยว่า จากการจัดงานบางกอกฟิล์มเมื่อต้นปี 2547 ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 2 นั้น ส่งผลให้ประเทศต่างๆทั่วโลก รู้จักประเทศไทยมากขึ้น รวมถึงโลเกชั่นสวยๆในการถ่ายทำภาพยนตร์ ส่งผลให้ตลอดทั้งปี มีบริษัทถ่ายทำภาพยนตร์ และหนังโฆษณา เข้ามาใช้โลเกชั่นของประเทศไทยในการถ่ายทำมากถึง 1,200 กองถ่าย ซึ่งแต่ละกองถ่ายนำเงินเข้ามาจับจ่ายในประเทศประมาณรายละ 50-300 ล้านบาทขึ้นอยู่กับขนาดของกองถ่ายทำ เป็นการใช้จ่ายทั้งในส่วนของโรงแรมที่พัก อาหาร และค่าจ้างแรงงานคนไทยที่จะจ้างไว้ในกอกถ่าย ซึ่งผลจากการจัดงานที่จะเกิดขึ้นในเดือนมกราคม 2548 ททท.ก็หวังว่า สถานที่ท่องเที่ยว และสถานที่ต่างๆในประเทศไทย จะถูกเลือกในการถ่ายทำภาพยนตร์เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ไฮไลท์ของงานในปีนี้เชื่อว่าจะอยู่ที่ช่วง บางกอก ฟิล์ม มาร์เก็ต(BFM) ซึ่จะมีขึ้นในวันที่ 17 มกราคม 2548 โดยคาดว่าจะมีผู้วื้อและผู้ขายภาพยนตร์มารวมกันมากมาย รวมถึงภาพยนตร์ไทย ที่จะมีการเจรจาซื้อขายเพื่อนำไปฉายต่างประเทศ โดยเมื่องานบางกอกฟิล์มครั้งที่ผ่านมา เฉพาะการซื้อขายภาพยนตร์ในช่วงการจัดงานคิดเป็นมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ดังนั้นงานครั้งนี้จึงเชื่อว่าจะมีการซื้อ-ขายภาพยนตร์เพิ่มขึ้นอย่าง
“สิ่งที่ได้รับจากงานบางกอกฟิล์ม คงเป็นเรื่องของการประชาสัมพันธ์ประเทศไทย โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นมูลค่าที่ตามมาอีกมากมายทางด้านรายได้จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งการที่ททท.ให้ความสำคัญและสนับสนุนงานบางกอกฟิล์ม โดยต้องการให้งานที่จัดยิ่งใหญ่ขึ้นทุกปี เพราะ ททท.มองว่าการซื้อสื่อเพื่อประชาสัมพันธืการท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่เพียงพอและคนอาจสนใจน้อยกว่า
หากเป็นข่าวบันเทิง หรือข่าวดาราคนน่าจะให้ความสนใจ กับแหล่งท่องเที่ยวมากขึ้น จึงถือว่างานนี้มีประโยชน์ในทางอ้อม โดยททท.ดึงสาขาบันเทิงเข้ามาร่วมโปรโมทประเทศไทย ส่งผลให้ประเทศไทยโด่งดังอย่างรวดเร็ว” นางจุฑามาศ กล่าว
นางจุฑามาศ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับงานบางกอกฟิล์มในปีนี้ถือว่าเป็นการจัดงานที่ใหญ่กว่าปีที่ผ่านมาใช้งบประมาณจัดงานรวม 185 ล้านบาท น้อยกว่าครั้งก่อนที่ใช้งบประมาณราว 200 ล้านบาท โดยครั้งนี้จะมีหนังจากทั่วโลกเข้ามาฉายประมาณ 120 เรื่อง จากยุโรป ฮอลลีวู้ด และประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจคือครั้งนี้ได้มีการเชิญผู้กำกับหนัง และดาราดังหลายคนเข้ามาร่วมงานด้วยกว่า 20 คน อาทิเช่น ไมเคิล ดักลาส ,โคลิน ฟาเวลล์ จากภาพยนตร์เรื่องอเล็กซานเดอร์ เป็นต้น ภายในงานนอกจากจะมีการจัดเป็นตลาดนัดเพื่อการซื้อขายภาพยนตร์ หรือ บางกอก ฟิล์ม มาร์เก็ต แล้ว ในปีนี้ยังได้เพิ่มเรื่องการส่งเสริมตลาดทางด้านภาพยนตร์แอนนิเมชั่น เป็นครั้งแรกในภูมิภาคนี้ด้วย รวมถึงการจัดกิจกรรมการประกวดหนังสั้น สารคดี และแอนนิเมชั่น การจัดสัมมนาทางวิชาการในหลายหัวข้อที่เกี่ยวกับศิลปะภาพยนตร์และด้านธุรกิจ โดยรัฐบาลมุ่งหวังให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งของเอเชียและขึ้นสู่ระดับโลกในอนาคต