ผู้แทนการค้าไทยนำหน่วยงานรัฐและนักธุรกิจไทยพบปะกับนักธุรกิจคูเวต เพื่อหวังขยายการค้าและการลงทุนของ 2 ประเทศ ให้มากขึ้น โดยขณะนี้สินค้าของไทยได้รับการตอบรับจากชาวคูเวตมากขึ้น ขณะที่ไทยหวังให้นักธุรกิจคูเวตไปลงทุนในไทยมากขึ้น ด้วยการสร้างความมั่นใจในผลตอบแทนการลงทุน ขณะเดียวกัน คูเวตยังเปิดทางให้นักธุรกิจไทยไปตั้งบริษัทกระจายสินค้าไทยในประเทศตะวันออกกลางด้วย
นายประวิช รัตนเพียร ผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่า หลังจากที่ได้นำคณะนักธุรกิจไทย รวมทั้งตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกระทรวงสาธารณสุข มาพบปะกับนักธุรกิจคูเวต ระหว่างวันที่ 27 – 29 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา จะทำให้ทั้ง 2 ประเทศ มีการค้าและการลงทุนกันมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน เพราะขณะนี้นักธุรกิจคูเวตให้การยอมรับสินค้าและบริการจากไทยอย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจด้านสุขภาพที่มีโอกาสเพิ่มสินค้าด้านสปา สมุนไพร และสินค้าโอท็อป แม้ว่าประชากรในคูเวต มีเพียง 700,000 คน แต่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมาก
นายประวิช กล่าวว่า จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า แรงงานไทยที่เป็นสตรีมาทำงานด้านธุรกิจสปาในประเทศคูเวต มีรายได้สูงถึงเดือนละ 50,000 – 60,000 บาท และยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มความต้องการเพิ่มขึ้น โดยร้านสปาที่ใช้ผู้บริหารและทีมงานคนไทย เป็นที่นิยมของคนคูเวตสามารถทำรายได้ถึงวันละ 120,000 บาท และมีโครงการขยายกิจการต่อ เนื่องจากได้รับความนิยมของผู้หญิงคูเวต
นายดุสิต จันตะเสน เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศคูเวต เปิดเผยว่า ในต้นปี 2548 จะเชิญผู้บริหารของบีโอไอ และผู้แทนการค้าไทย มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางการลงทุนและสิทธิประโยชน์ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อชักจูงให้นักธุรกิจคูเวต ไปลงทุนในไทยมากขึ้น เพราะปัจจุบันกลุ่มนักลงทุนคูเวต กลัวความเสี่ยงด้านผลตอบแทน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารอิสลามของคูเวตได้นำเงินจำนวนหนึ่งมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยการซื้อหุ้นบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีพีไอ แต่เกิดปัญหาการขาดทุนจากราคาหุ้นตกต่ำ ทำให้ธนาคารอิสลามของคูเวตขาดทุนจำนวนมาก ส่งผลให้นักลงทุนจากคูเวตจำนวนหนึ่งไม่กล้ามาลงทุนในไทย เพราะกลัวความเสี่ยง ดังนั้น หากภาครัฐโดยเฉพาะบีโอไอ มาโรดโชว์เพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนคูเวต ก็จะทำให้กลุ่มทุนเหล่านี้สนใจลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น
สำหรับการลงทุนในประเทศคูเวตนั้น มีนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจอย่างมาก เพราะคูเวต มีแผนพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะการลงทุนด้านพลังงาน เนื่องจากคูเวตจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันจากวันละ 2.7 ล้านบาร์เรล เป็นวันละ 5 ล้านบาร์เรล รวมถึงการเร่งก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างความสะดวกแก่ประชาชนและนักลงทุน เช่น การก่อสร้างเส้นทางคมนาคมซึ่งจะเปิดโอกาสให้เอกชนจากต่างประเทศเข้ามาเป็นผู้ร่วมทุน
“ขณะนี้ คูเวตได้เปิดโอกาสให้เอกชนทั่วโลก รวมทั้งไทย เข้ามาเป็นผู้ร่วมดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามอ่าว เชื่อมคูเวตด้านเหนือและใต้ เพื่อย่นระยะทางเข้าสู่ประเทศอิรัก จากกว่า 100 กิโลเมตร เหลือเพียงระยะทางกว่า 30 กิโลเมตร เพื่อการขนส่งสินค้าเข้าประเทศอิรัก โดยเบื้องต้นเชื่อว่ามีความเป็นได้สูงที่ผู้ประกอบการไทยจะเข้ามาในลักษณะซับคอนแทกซ์ ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการไทยที่จะเข้าไปลงทุน นอกจากนี้ คูเวตยังมีแผนที่จะก่อสร้างที่อยู่อาศัยแก่ประชาชนในประเทศในลักษณะผ่อนระยะยาว จำนวน 50,000 ยูนิต ซึ่งขณะนี้รัฐบาลก็เริ่มประกาศให้ประชาชนมาลงทะเบียนแล้ว“ นายดุสิต กล่าว
นายวิทยา ไพรสุวรรณ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ บีโอไอ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งของคูเวตมีความประสงค์ให้ภาคเอกชนไทยมาร่วมลงทุนในการจัดตั้งบริษัทกลางกระจายสินค้าเพื่อนำสินค้าจากไทยมาจำหน่ายให้แก่ประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะประเทศอิรัก ที่อยู่ในระหว่างการฟื้นฟูประเทศจึงทำให้เกิดความต้องการสินค้าอุปโภค และบริโภคจำนวนมาก โดยอิรักมีประชากรประมาณ 20 ล้านคน ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ไทยจะส่งสินค้าผ่านคูเวต เพื่อจำหน่ายในอิรัก ซึ่งปัจจุบันคูเวต ได้ส่งสินค้าไปอิรักวันละ 700-800 รถบรรทุก โดยสินค้าที่มีแนวโน้มไปได้ดีคือ วัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศ
นายประวิช รัตนเพียร ผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่า หลังจากที่ได้นำคณะนักธุรกิจไทย รวมทั้งตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกระทรวงสาธารณสุข มาพบปะกับนักธุรกิจคูเวต ระหว่างวันที่ 27 – 29 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา จะทำให้ทั้ง 2 ประเทศ มีการค้าและการลงทุนกันมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน เพราะขณะนี้นักธุรกิจคูเวตให้การยอมรับสินค้าและบริการจากไทยอย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจด้านสุขภาพที่มีโอกาสเพิ่มสินค้าด้านสปา สมุนไพร และสินค้าโอท็อป แม้ว่าประชากรในคูเวต มีเพียง 700,000 คน แต่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมาก
นายประวิช กล่าวว่า จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า แรงงานไทยที่เป็นสตรีมาทำงานด้านธุรกิจสปาในประเทศคูเวต มีรายได้สูงถึงเดือนละ 50,000 – 60,000 บาท และยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มความต้องการเพิ่มขึ้น โดยร้านสปาที่ใช้ผู้บริหารและทีมงานคนไทย เป็นที่นิยมของคนคูเวตสามารถทำรายได้ถึงวันละ 120,000 บาท และมีโครงการขยายกิจการต่อ เนื่องจากได้รับความนิยมของผู้หญิงคูเวต
นายดุสิต จันตะเสน เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศคูเวต เปิดเผยว่า ในต้นปี 2548 จะเชิญผู้บริหารของบีโอไอ และผู้แทนการค้าไทย มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางการลงทุนและสิทธิประโยชน์ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อชักจูงให้นักธุรกิจคูเวต ไปลงทุนในไทยมากขึ้น เพราะปัจจุบันกลุ่มนักลงทุนคูเวต กลัวความเสี่ยงด้านผลตอบแทน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารอิสลามของคูเวตได้นำเงินจำนวนหนึ่งมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยการซื้อหุ้นบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีพีไอ แต่เกิดปัญหาการขาดทุนจากราคาหุ้นตกต่ำ ทำให้ธนาคารอิสลามของคูเวตขาดทุนจำนวนมาก ส่งผลให้นักลงทุนจากคูเวตจำนวนหนึ่งไม่กล้ามาลงทุนในไทย เพราะกลัวความเสี่ยง ดังนั้น หากภาครัฐโดยเฉพาะบีโอไอ มาโรดโชว์เพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนคูเวต ก็จะทำให้กลุ่มทุนเหล่านี้สนใจลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น
สำหรับการลงทุนในประเทศคูเวตนั้น มีนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจอย่างมาก เพราะคูเวต มีแผนพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะการลงทุนด้านพลังงาน เนื่องจากคูเวตจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันจากวันละ 2.7 ล้านบาร์เรล เป็นวันละ 5 ล้านบาร์เรล รวมถึงการเร่งก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างความสะดวกแก่ประชาชนและนักลงทุน เช่น การก่อสร้างเส้นทางคมนาคมซึ่งจะเปิดโอกาสให้เอกชนจากต่างประเทศเข้ามาเป็นผู้ร่วมทุน
“ขณะนี้ คูเวตได้เปิดโอกาสให้เอกชนทั่วโลก รวมทั้งไทย เข้ามาเป็นผู้ร่วมดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามอ่าว เชื่อมคูเวตด้านเหนือและใต้ เพื่อย่นระยะทางเข้าสู่ประเทศอิรัก จากกว่า 100 กิโลเมตร เหลือเพียงระยะทางกว่า 30 กิโลเมตร เพื่อการขนส่งสินค้าเข้าประเทศอิรัก โดยเบื้องต้นเชื่อว่ามีความเป็นได้สูงที่ผู้ประกอบการไทยจะเข้ามาในลักษณะซับคอนแทกซ์ ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการไทยที่จะเข้าไปลงทุน นอกจากนี้ คูเวตยังมีแผนที่จะก่อสร้างที่อยู่อาศัยแก่ประชาชนในประเทศในลักษณะผ่อนระยะยาว จำนวน 50,000 ยูนิต ซึ่งขณะนี้รัฐบาลก็เริ่มประกาศให้ประชาชนมาลงทะเบียนแล้ว“ นายดุสิต กล่าว
นายวิทยา ไพรสุวรรณ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ บีโอไอ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งของคูเวตมีความประสงค์ให้ภาคเอกชนไทยมาร่วมลงทุนในการจัดตั้งบริษัทกลางกระจายสินค้าเพื่อนำสินค้าจากไทยมาจำหน่ายให้แก่ประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะประเทศอิรัก ที่อยู่ในระหว่างการฟื้นฟูประเทศจึงทำให้เกิดความต้องการสินค้าอุปโภค และบริโภคจำนวนมาก โดยอิรักมีประชากรประมาณ 20 ล้านคน ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ไทยจะส่งสินค้าผ่านคูเวต เพื่อจำหน่ายในอิรัก ซึ่งปัจจุบันคูเวต ได้ส่งสินค้าไปอิรักวันละ 700-800 รถบรรทุก โดยสินค้าที่มีแนวโน้มไปได้ดีคือ วัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศ