ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ปี 2548 กุ้งยังเป็นธุรกิจพึงระวัง เนื่องจากยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนตลาดส่งออกสำคัญ คือสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป กล่าวคือ ตลาดสหรัฐฯ การพิจารณาอัตราภาษีทุ่มตลาดขั้นสุดท้ายของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะกำหนดการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยไปตลาดนี้
ไทยจะได้ประโยชน์ ถ้าอัตราภาษีสำหรับไทยอัตราต่ำเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งสำคัญตลาดนี้ ส่วนตลาดสหภาพยุโรป ขึ้นกับคำตัดสิน ว่าสหภาพยุโรป จะคืนสิทธิพิเศษภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (จีเอสพี) กับไทยหรือไม่
ซึ่งจะมีผลอย่างมาก ขยายตลาดผลิตภัณฑ์กุ้งไทยในสหภาพยุโรป คำตัดสินตลาดทั้ง 2 นี้ จะทราบผลช่วงธันวาคม ซึ่งจะส่งผลภาพธุรกิจกุ้งปี 2548 ชัดเจนยิ่งขึ้น ยังต้องติดตามการขยายตัวผลิตกุ้งปี 2548 ของประเทศคู่แข่งขันสำคัญของไทย เนื่องจากคาดว่า ภาวะแข่งขันผลิตภัณฑ์กุ้งตลาดโลก จะยังคงรุนแรงต่อเนื่อง
คาดว่าปริมาณผลผลิตกุ้งไทยปี 2548 เท่ากับ 400,000 ตัน เทียบปีนี้ ปริมาณผลิต 325,000 ตัน เพิ่มขึ้น 23.1% เนื่องจากผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจกุ้งต่างๆ หันไปส่งเสริมเกษตรกรกลับมาเลี้ยงกุ้ง คาดว่าราคากุ้งจะแนวโน้มสูงขึ้น จากการส่งออกที่คาดว่าจะกระเตื้อง
คาดว่าปี 2548 การส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งเพิ่มเป็น 250,000–260,000 ตัน มูลค่า 960 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับปีนี้ คาดว่าทั้งปริมาณและมูลค่า เพิ่มขึ้น 6% และ 10.3%
อย่างไรก็ตาม ทั้งปริมาณและมูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้ง อาจสูงกว่านี้ ถ้าปัจจัยที่ยังไม่แน่นอนขณะนี้ กลับมาเป็นปัจจัยหนุนส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไทย
ส่งออกกุ้งไทย 2548 : ปัจจัยไม่แน่นอน…รอข้างหน้า
แนวโน้มธุรกิจกุ้งไทยปี 2548 ต้องรอผลปัจจัยที่ยังไม่แน่นอนในตลาดส่งออกกุ้ง ที่สำคัญ ดังนี้
•ตลาดสหรัฐฯ…รอชี้ชะตาจากอัตราภาษีเอดีขั้นสุดท้าย
ปีนี้ การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ไต่สวนประเทศผู้ส่งออกกุ้งรายใหญ่ไปตลาดสหรัฐฯ ทำให้ช่วงไตรมาสแรก ผู้นำเข้ากุ้งในสหรัฐฯ เร่งนำเข้ากุ้ง โดยเฉพาะจากจีน ไทย เอกวาดอร์ เวียดนาม และอินเดีย
เนื่องจากเมื่อประกาศอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดช่วงกรกฎาคม มีการตรวจสอบนำเข้าย้อนหลัง 90 วัน ว่านำเข้าผิดปกติหรือไม่ ซึ่งถ้านำเข้าเพิ่มขึ้นผิดปกติ จะเก็บภาษีย้อนหลัง การเร่งนำเข้ากุ้งช่วงไตรมาสแรก ส่งผลสต็อกกุ้งในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น
ทำให้การนำเข้าช่วงไตรมาส 2 ลดลงมาก โดยเฉพาะการนำเข้าจากประเทศที่รัฐบาลสหรัฐฯ เปิดไต่สวนการทุ่มตลาด กล่าวคือ ช่วงไตรมาส 2 สัดส่วนนำเข้ากุ้งของสหรัฐฯ จากประเทศที่ถูกไต่สวนการทุ่มตลาด ลดเหลือเพียง 33% จากมูลค่านำเข้ากุ้งทั้งหมด จากเดิม ที่เคยมีสัดส่วนตลาดสูงถึง 70% สหรัฐฯ หันไปนำเข้าจากประเทศที่เคยเป็นผู้ส่งออกกุ้งรายย่อยไปสหรัฐฯ แทน ได้แก่ เวเนซูเอลลา อินโดนีเซีย มาเลเซีย บังคลาเทศ ซูรินัม เปรู เป็นต้น
เมื่อกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด หรือภาษีเอดีเบื้องต้น พร้อมออกมาตรการให้บริษัทผู้นำเข้ากุ้ง ต้องวางเงินค้ำประกันสินค้านำเข้าจากประเทศที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม
ทำให้การนำเข้ากุ้งรวมของสหรัฐฯ สิงหาคมลดลงเห็นได้ชัด โดยนำเข้ากุ้งเพียง 36,473 ตัน ลจากเดือนเดียวกันปีก่อน 42% นำเข้าจากประเทศที่ถูกฟ้องร้องเพียง 17,873 ตัน ลจากเดือนเดียวกันปีก่อน 54%
ประเทศที่รับผลกระทบสูงสุด คือจีน นำเข้าลดจาก 11,251 ตัน เหลือ 2,961 ตัน ลดลง 74% ขณะที่ประเทศที่ไม่ถูกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด ต่างรับประโยชน์ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย
กล่าวคือ สหรัฐฯ นำเข้ากุ้งจากอินโดนีเซียสิงหาคม 4,757 ตัน เทียบ 2,049 ตันเดือนเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้น 2.3 เท่า ทำให้ปริมาณกุ้งนำเข้าอินโดนีเซียของสหรัฐฯ ช่วง 8 เดือนแรก สูงกว่าการนำเข้าทั้งปี 2546 ส่วนการนำเข้ากุ้งจากไทยสิงหาคม ลดลง 55% จากเดือนเดียวกันปีก่อน แต่ปริมาณรวมช่วง 8 เดือนแรก นำเข้าสูงกว่าปีก่อน 5%
การพิจารณาอัตราภาษีทุ่มตลาดขั้นสุดท้ายของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ หลายฝ่ายในอุตสาหกรรมกุ้งเห็นว่า เอกวาดอร์ บราซิล ไทย และเวียดนาม อาจถูกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดขั้นสุดท้า ต่ำกว่าภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดเบื้องต้น ที่ประกาศไปแล้ว
ผลพิจารณาภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดขั้นสุดท้ายสำหรับจีนและเวียดนาม จะประกาศวันที่ 29 พฤศจิกายน สำหรับเอกวาดอร์ บราซิล อินเดีย และไทย ประกาศวันที่ 17 ธันวาคม
ผลกระทบอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดขั้นสุดท้ายสำหรับการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไทย แยกพิจารณาได้ดังนี้
- อัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด แนวโน้มสูงขึ้น…ถ้าสหรัฐฯ ใช้การคำนวณแบบ Zeroing ถ้าสหรัฐฯ ใช้วิธีคำนวณแบบไม่นำรายการขายในตลาดสหรัฐฯ ที่ราคาสูงกว่าตลาดต่างประเทศ หรือสูงกว่าต้นทุนผลิตรวมกำไร มาคำนวณ (Zeroing)
ซึ่งจะส่งผลให้อัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดของผู้ส่งออกไทย แนวโน้มสูงขึ้นจากภาษีขั้นต้นที่ใช้อยู่ปัจจุบัน ทุกบริษัทส่งออกมีสิทธิจะถูกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดทั้งหมด ปัจจัยสนับสนุนอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด น่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้น คือกลุ่มพันธมิตรชาวประมงกุ้งสหรัฐฯ จะขอให้นำกฎหมาย "The U.S. Dumping and Subsidy Offset Act of 2000" หรือ "Byrd Amendment" มาใช้
ทำให้ศุลกากรสหรัฐฯ สามารถนำภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด ชดเชยให้อุตสาหกรรมกุ้งภายใน ที่ได้รับผลกระทบ ส่งผลกลุ่มผู้ฟ้อง ต้องพยายามทำให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดอัตราที่สูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สัญญาณทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่า โอกาสที่ไทยจะหลุดจากภาษีเอดี เป็นไปได้ยาก แนวโน้มอาจถูกเก็บอัตราสูงกว่าอัตราภาษีขั้นต้น
-อัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดแนวโน้มต่ำลง…ถ้าสหรัฐฯ ใช้การคำนวณ
แบบเฉลี่ย สมาคมกุ้งไทยคาดว่า แนวโน้มอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดที่สหรัฐฯ จะเก็บจากผู้ส่งออกกุ้งไทย น่าจะดีขึ้น
- อาจถูกเก็บประมาณ 3-4% ต่ำกว่าอัตราขั้นต้น ที่เก็บที่ 6.39% ข้อต่อรอง
ประเทศผู้ส่งออกกุ้งไปตลาดสหรัฐฯ คืองดนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากสหรัฐฯ เพื่อเป็นวัตถุดิบอุตสาหกรรมอาหารกุ้ง
การเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกุ้ง จะส่งผลธุรกิจถั่วเหลือง ตั้งแต่ชาวไร่ถึงผู้ส่งออก ต้องเสียผลประโยชน์ จีนถือเป็นประเทศผู้นำเข้าถั่วเหลืองลำดับต้นๆ ของสหรัฐฯ สำหรับในไทย กลุ่ม 9 สมาคม ได้แก่ สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป สมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและรำข้าว สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำไทย สมาคมผู้เลี้ยงไก่เพื่อการส่งออกไทย สมาคมอาหารสัตว์ไทย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งทะเลไทย สมาคมส่งเสริมผู้ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์
ออกแถลงการณ์ร่วมกัน ว่าจะไม่นำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง และกากถั่วเหลือง จากสหรัฐฯ เช่นกัน รวมทั้งกรมการค้าต่างประเทศ ส่งหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เรียกร้องให้สหรัฐฯ ใช้วิธีคำนวณแบบเฉลี่ย
โดยนำรายการจำหน่ายกุ้งในตลาดสหรัฐฯ ที่ราคาสูงกว่าตลาดต่างประเทศ หรือสูงกว่าต้นทุนผลิตรวมกำไร คำนวณเฉลี่ยรวมกับรายการจำหน่ายกุ้งในสหรัฐฯ ที่ราคาต่ำกว่าตลาดต่างประเทศ หรือต่ำกว่าต้นทุนผลิตแทน การคำนวณแบบ Zeroing
คาดว่าการดำเนินการดังกล่าว จะทำให้อัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด ที่ไทยจะถูกเก็บ ต่ำลงจากอัตราประกาศขั้นต้น กล่าวคือ ไทยน่าจะถูกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดประมาณ 3-4%
นอกจากประเด็นอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดขั้นสุดท้าย ประเด็นน่าจับตามอง คือ การนำเข้ากุ้งขนาดใหญ่และเล็กของสหรัฐฯ เริ่มมีแนวโน้มลดลง ประเทศที่ครอบครองตลาดกุ้งขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ คือ อินเดีย บังคลาเทศ ไทย และเวียดนาม
ส่วนกุ้งขนาดเล็ก ประเทศที่ครอบครองตลาด คือ เอกวาดอร์ เวเนซูเอลลา ไทย และบราซิล ขณะที่สหรัฐฯ นำเข้ากุ้งขนาดกลาง เพิ่มขึ้น ประเทศที่ครอบครองตลาดกุ้งขนาดกลางในสหรัฐฯ คือ ไทย อินโดนีเซีย และเม็กซิโก
สินค้ากุ้งแปรรูป แนวโน้มขยายตัวรวดเร็ว โดยเฉพาะกุ้งแปรรูปอื่นๆ ทั้งแช่แข็ง และไม่ได้แช่แข็ง (Shrimp Frozen Other Preparations และ Others Preparations Non-frozen) และกุ้งคลุกขนมปัง (Breaded Frozen) ส่วนกุ้งปอกเปลือก การนำเข้าแนวโน้มลดลง
•ตลาดญี่ปุ่น…การแข่งขันรุนแรง
ช่วงปีนี้ ตลาดญี่ปุ่นแนวโน้มนำเข้ากุ้งเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม กุ้งที่ญี่ปุ่นนำเข้าเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นกุ้งอินเดีย เวียดนาม และจีน ทำให้อินโดนีเซียและเวียดนาม เป็นแหล่งนำเข้ากุ้งสำคัญของญี่ปุ่น ทั้ง 2 ประเทศ ครองสัดส่วนตลาดมากกว่า 40% ของปริมาณนำเข้ากุ้งทั้งหมดของญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตามอง คือบราซิล เริ่มเป็นคู่แข่งมาแรงในตลาดญี่ปุ่น แม้กุ้งส่วนใหญ่ของบราซิล จะส่งออกตลาดสหภาพยุโรปมากกว่าก็ตาม ผู้ส่งออกไทยต้องติดตามผลกระทบ จากการประกาศภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลบวกและลบถึงการแข่งขันในตลาดญี่ปุ่น
กล่าวคือ การแข่งขันในตลาดญี่ปุ่นจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ จะลดลง เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศนี้ ไม่อยู่ในรายชื่อประเทศถูกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด ทำให้ทั้ง 2 ประเทศ หันส่งออกกุ้งไปตลาดสหรัฐฯ มากขึ้น ขณะที่ประเทศที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดในสหรัฐฯ จะหันจับตลาดญี่ปุ่นแทน
ปัจจุบัน ญี่ปุ่นนำเข้ากุ้งและผลิตภัณฑ์ 53,000-54,000 ตัน มูลค่า 60,000-70,000 ล้านเยน (550-642 ล้านดอลลาร์) ไทยติดอันดับ 5 ของแหล่งนำเข้ากุ้งและผลิตภัณฑ์ของญี่ปุ่น รองจาก อินโดนีเซีย เวียดนาม อินเดีย และจีน ตามลำดับ
เดิม ญี่ปุ่นเคยนำเข้ากุ้งและผลิตภัณฑ์จากไทยอันดับ 1 แต่หลังจากเกิดโรคระบาดพื้นที่เพาะเลี้ยงกุ้ง ทำให้ญี่ปุ่นหันไปนำเข้าจากอินโดนีเซียและเวียดนาม มากขึ้น กุ้งและผลิตภัณฑ์ของไทย ที่ส่งไปตลาดญี่ปุ่น ส่วนใหญ่เป็นกุ้งปอกเปลือก และมีหาง (Peeled Tail-on)
คู่แข่งสำคัญของไทย ส่งออกกุ้งประเภทนี้ คือเวียดนาม การเจาะขยายตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น สำหรับผู้ส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ของไทย ต้องพิจารณาแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคในญี่ปุ่น ที่เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม
กล่าวคือ ตลาดญี่ปุ่นเริ่มต้องการกุ้งขนาดกลางเพิ่มขึ้น จากเดิม ต้องการเพียงกุ้งขนาดใหญ่ เป็นผลจากอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปในญี่ปุ่น ต้องการกุ้งขนาดกลาง เพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบทำซูชิและเทมปุระ รวมทั้งผู้บริโภคญี่ปุ่น เริ่มนิยมบริโภคกุ้งขนาดกลางมากขึ้น มีแนวโน้ม ว่าตลาดญี่ปุ่นเริ่มนำเข้ากุ้งแปรรูปเพิ่มขึ้น สัดส่วนนำเข้ากุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ขยายตัวชะลอ โดยเฉพาะกุ้งคลุกขนมปังป่น ซูชิ และผลิตภัณฑ์กุ้งแปรรูปประเภทอื่นๆ
•ตลาดสหภาพยุโรป…รอการพิจารณาคืนจีเอสพี
ผู้ส่งออกกุ้งไทย กำลังรอการพิจารณาคืนสิทธิจีเอสพี เนื่องจากอียูกำลังทบทวนการคืนสิทธิพิเศษดังกล่าวให้กลุ่มประเทศต่างๆ อียูจะให้สิทธิพิเศษรอบใหม่ ปี 2549-2558 วิธีคำนวณใหม่ มูลค่าส่งออกกุ้งไทยไปอียู น้อยมาก ส่วนแบ่งไม่ถึง 15% ของมูลค่าส่งออกกุ้งไปอียู จากทุกประเทศที่ได้รับจีเอสพี
หากอียูคืนสิทธิจีเอสพีกุ้งให้ไทย จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศมาก ทำให้อียูจะกลับมาเป็นตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งสำคัญ เช่นเดียวกับก่อนปี 2541 เนื่องจากกุ้งไทยเสียเปรียบการแข่งขันตลาดนี้ตั้งแต่ปี 2541
ทำให้การนำเข้าผลิตภัณฑ์กุ้งจากไทยของอียู ลดจาก 192 ล้านยูโรปี 2541 เหลือเพียง 5 ล้านยูโรปี 2546 ลดลงมากกว่า 90% ถ้าอียูคืนจีเอสพีให้ไทย จะส่งผลเพิ่มยอดส่งออกกุ้งไทยอีกมาก การส่งออกกุ้งไทยไปอียู จะเพิ่มเป็น 70,000 ตันต่อปี จากปัจจุบัน ส่งออกไปอียูเพียง 5,000 ตัน
เนื่องจากอียูเก็บภาษีนำเข้ากุ้งไทยสูงถึง 12% สำหรับกุ้งสด และ 20% สำหรับกุ้งแปรรูป ขณะที่ประกาศว่า จะยังคงให้สิทธิพิเศษภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (จีเอสพี) กับคู่แข่งสำคัญของไทย โดยเฉพาะอินโดนีเซีย โดยคงภาษีนำเข้ากุ้งสดจากอินโดนีเซียที่ 3.5% กุ้งแช่แข็ง 7.5%
เป็นโอกาสของอินโดนีเซีย ขยายการส่งออก รวมทั้งการที่สหภาพยุโรปมีมติยกเลิกห้ามนำเข้ากุ้งจากจีน สหภาพยุโรปเคยตรวจพบสารเคมีตกค้างในผลิตภัณฑ์กุ้งจากจีน ส่งผลจีนกลับมาเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดสหภาพยุโรปอีกครั้ง
คู่แข่งขันสำคัญของการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ไปตลาดสหภาพยุโรป คือประเทศแถบอเมริกาใต้ โดยเฉพาะอาเจนตินา บราซิล เอกวาดอร์ โมร็อคโค และโคลัมเบีย ประเทศเหล่านี้ ครองสัดส่วนอันดับต้นๆ ของการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ ไปตลาดสหภาพยุโรป
การส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไทยไปตลาดอียู แนวโน้มลดต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2540 อียูตัดจีเอสพีผลิตภัณฑ์กุ้งไทย ปัจจุบัน การส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไทยไปตลาดอียู เพียง 1-2% ของมูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งทั้งหมด
ประเด็นน่าสนใจ คือคู่แข่งสำคัญของไทยในตลาดสหภาพยุโรป เป็นประเทศที่ถูกสหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดสูงกว่าไทย ประเทศเหล่านี้ แนวโน้มจะหันมาเจาะขยายตลาดสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น
เท่ากับผู้ส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ของไทย จะเผชิญการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นในตลาดนี้ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จเจาะขยายตลาดอียูเพิ่มขึ้นของผู้ส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ ต้องผลักดันให้อียูทบทวนให้จีเอสพี ต้องเท่าเทียมกัน ถ้าอัตราภาษีนำเข้าของไทยลดลง เทียบเท่าอินโดนีเซีย สถานการณ์ส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ไปตลาดอียูของไทย จะมีแนวโน้มสดใสขึ้น
บราซิล…คู่แข่งที่กำลังมาแรง
นอกจากสถานการณ์ตลาดส่งออกสำคัญ ผู้ส่งออกกุ้งไทยยังต้องจับตาบราซิล ซึ่งคาดว่าจะเป็นคู่แข่งมาแรงปี 2548 นอกจากคู่แข่งขันรายเดิม อย่างจีน เวียดนาม อินเดีย และเอกวาดอร์
ปัจจุบัน บราซิลจัดเป็นผู้ผลิตกุ้งอันดับ 7 ของโลก การเพาะเลี้ยงกุ้งของบราซิลขยายต่อเนื่อง เป็นผลจากนโยบายส่งเสริมการเลี้ยงกุ้งของรัฐบาล รวมทั้งยกระดับเทคโนโลยีเลี้ยงกุ้ง และสภาพอากาศเอื้ออำนวย
โดยเฉพาะพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ทำให้ผลผลิตกุ้งบราซิลเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% แต่ละปี คาดว่าปี 2548 เนื้อที่เพาะเลี้ยงกุ้งบราซิลจะเพิ่มเป็น 20,000 เฮกตาร์ (ประมาณ 125,000 ไร่) ผลผลิต 160,000 ตัน เทียบปีนี้ เพิ่มขึ้น 17.6% และ 33.3% ตามลำดับ
ส่วนการส่งออก ปี 2548 รัฐบาลบราซิลตั้งเป้าหมายส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ 500 ล้านดอลลาร์ คาดว่าปี 2553 บราซิลจะกลายเป็นผู้ส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์สำคัญของโลก มูลค่าส่งออกจะเพิ่มเป็น 1,500 ล้านดอลลาร์
เนื่องจากบราซิลเริ่มหันมาผลิตกุ้งแปรรูปเพื่อส่งออก เพื่อตอบสนองความต้องการตลาดมากขึ้น จากเดิม ส่งออกกุ้งบราซิลที่ยังไม่แปรรูป บราซิลจึงสามารถเพิ่มมูลค่าส่งออกกุ้งอีกมาก สหรัฐฯ ถือว่าเป็นตลาดส่งออกหลักของบราซิล สัดส่วนประมาณ 45% ของการส่งออกกุ้งทั้งหมดของบราซิล
ตลาดสหภาพยุโรป บราซิลก็เป็นประเทศสำคัญอันดับต้นๆ ของการส่งออกกุ้งไปตลาดสหภาพยุโรป มูลค่าส่งออกปีนี้ เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว โดยเฉพาะตลาดสเปน ฝรั่งเศส เนื่องจากกุ้งที่บราซิลส่งออก เป็นกุ้งขาว (P.vannamei) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญอุตสาหกรรมอาหารของสหภาพยุโรป
สรุป
ทิศทางธุรกิจกุ้งไทยปี 2548 จะชัดเจนมากขึ้น เมื่อทราบผลตัดสินอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และการคืนจีเอสพีให้ผลิตภัณฑ์กุ้งไทย สำหรับตลาดอียู ทั้ง 2 ปัจจัยนี้ จะส่งผลอย่างมาก กำหนดทิศทางส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งปี 2548 ส่งผลต่อเนื่องทิศทางราคากุ้ง และปริมาณผลผลิตกุ้งปี 2548 ด้วย
การกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาผลิตภัณฑ์กุ้งไทยระยะยาวน รัฐบาลมุ่งเน้นเร่งพัฒนาบนพื้นฐานความเป็นจริง หวังจะให้ไทยกลับมาเป็นอันดับ 1 ผลผลิตการเพาะเลี้ยงให้ได้ หลังจากถูกจีนแซงหน้าตั้งแต่ปี 2546
กรมประมงจัดสรรงบประมาณปี 2548 ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ นำไปดำเนินการ เพิ่มการศึกษาวิจัย เพื่อให้ตอบสนองยุทธศาสตร์ที่วางไว้ สำหรับนโยบายเตรียมรับมือการแข่งขันรุนแรงในตลาดโลก
คือกำหนดยุทธศาสตร์กุ้งและผลิตภัณฑ์ (ปี 2547-2551) กำหนดเป้าหมายผลผลิตกุ้งปี 2551 จะมี 481,250 ตัน คิดเป็นมูลค่าส่งออก 100,800 ล้านบาท ขณะที่ผลที่จะได้รับจากยุทธศาสตร์ คือขยายพื้นที่เลี้ยงเหมาะสมอีกประมาณ 50,000 ไร่ กำหนดสัดส่วนผลิตกุ้งกุลาดำต่อกุ้งขาวแวนนาไมเป็น 30:70 กำหนดสัดส่วนผลิตกุ้งกุลาดำขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอีก 12% เพื่อมุ่งตลาดเฉพาะ
ปี 2548 กุ้งยังเป็นธุรกิจพึงระวัง เนื่องจากยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนตลาดส่งออกสำคัญ คือสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป กล่าวคือ ตลาดสหรัฐฯ การพิจารณาอัตราภาษีทุ่มตลาดขั้นสุดท้ายของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะกำหนดการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งของไทยไปตลาดนี้
ไทยจะได้ประโยชน์ ถ้าอัตราภาษีสำหรับไทยอัตราต่ำเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งสำคัญตลาดนี้ ส่วนตลาดสหภาพยุโรป ขึ้นกับคำตัดสิน ว่าสหภาพยุโรป จะคืนสิทธิพิเศษภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (จีเอสพี) กับไทยหรือไม่
ซึ่งจะมีผลอย่างมาก ขยายตลาดผลิตภัณฑ์กุ้งไทยในสหภาพยุโรป คำตัดสินตลาดทั้ง 2 นี้ จะทราบผลช่วงธันวาคม ซึ่งจะส่งผลภาพธุรกิจกุ้งปี 2548 ชัดเจนยิ่งขึ้น ยังต้องติดตามการขยายตัวผลิตกุ้งปี 2548 ของประเทศคู่แข่งขันสำคัญของไทย เนื่องจากคาดว่า ภาวะแข่งขันผลิตภัณฑ์กุ้งตลาดโลก จะยังคงรุนแรงต่อเนื่อง
คาดว่าปริมาณผลผลิตกุ้งไทยปี 2548 เท่ากับ 400,000 ตัน เทียบปีนี้ ปริมาณผลิต 325,000 ตัน เพิ่มขึ้น 23.1% เนื่องจากผู้เกี่ยวข้องกับธุรกิจกุ้งต่างๆ หันไปส่งเสริมเกษตรกรกลับมาเลี้ยงกุ้ง คาดว่าราคากุ้งจะแนวโน้มสูงขึ้น จากการส่งออกที่คาดว่าจะกระเตื้อง
คาดว่าปี 2548 การส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งเพิ่มเป็น 250,000–260,000 ตัน มูลค่า 960 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับปีนี้ คาดว่าทั้งปริมาณและมูลค่า เพิ่มขึ้น 6% และ 10.3%
อย่างไรก็ตาม ทั้งปริมาณและมูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้ง อาจสูงกว่านี้ ถ้าปัจจัยที่ยังไม่แน่นอนขณะนี้ กลับมาเป็นปัจจัยหนุนส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไทย
ส่งออกกุ้งไทย 2548 : ปัจจัยไม่แน่นอน…รอข้างหน้า
แนวโน้มธุรกิจกุ้งไทยปี 2548 ต้องรอผลปัจจัยที่ยังไม่แน่นอนในตลาดส่งออกกุ้ง ที่สำคัญ ดังนี้
•ตลาดสหรัฐฯ…รอชี้ชะตาจากอัตราภาษีเอดีขั้นสุดท้าย
ปีนี้ การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ไต่สวนประเทศผู้ส่งออกกุ้งรายใหญ่ไปตลาดสหรัฐฯ ทำให้ช่วงไตรมาสแรก ผู้นำเข้ากุ้งในสหรัฐฯ เร่งนำเข้ากุ้ง โดยเฉพาะจากจีน ไทย เอกวาดอร์ เวียดนาม และอินเดีย
เนื่องจากเมื่อประกาศอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดช่วงกรกฎาคม มีการตรวจสอบนำเข้าย้อนหลัง 90 วัน ว่านำเข้าผิดปกติหรือไม่ ซึ่งถ้านำเข้าเพิ่มขึ้นผิดปกติ จะเก็บภาษีย้อนหลัง การเร่งนำเข้ากุ้งช่วงไตรมาสแรก ส่งผลสต็อกกุ้งในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น
ทำให้การนำเข้าช่วงไตรมาส 2 ลดลงมาก โดยเฉพาะการนำเข้าจากประเทศที่รัฐบาลสหรัฐฯ เปิดไต่สวนการทุ่มตลาด กล่าวคือ ช่วงไตรมาส 2 สัดส่วนนำเข้ากุ้งของสหรัฐฯ จากประเทศที่ถูกไต่สวนการทุ่มตลาด ลดเหลือเพียง 33% จากมูลค่านำเข้ากุ้งทั้งหมด จากเดิม ที่เคยมีสัดส่วนตลาดสูงถึง 70% สหรัฐฯ หันไปนำเข้าจากประเทศที่เคยเป็นผู้ส่งออกกุ้งรายย่อยไปสหรัฐฯ แทน ได้แก่ เวเนซูเอลลา อินโดนีเซีย มาเลเซีย บังคลาเทศ ซูรินัม เปรู เป็นต้น
เมื่อกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด หรือภาษีเอดีเบื้องต้น พร้อมออกมาตรการให้บริษัทผู้นำเข้ากุ้ง ต้องวางเงินค้ำประกันสินค้านำเข้าจากประเทศที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม
ทำให้การนำเข้ากุ้งรวมของสหรัฐฯ สิงหาคมลดลงเห็นได้ชัด โดยนำเข้ากุ้งเพียง 36,473 ตัน ลจากเดือนเดียวกันปีก่อน 42% นำเข้าจากประเทศที่ถูกฟ้องร้องเพียง 17,873 ตัน ลจากเดือนเดียวกันปีก่อน 54%
ประเทศที่รับผลกระทบสูงสุด คือจีน นำเข้าลดจาก 11,251 ตัน เหลือ 2,961 ตัน ลดลง 74% ขณะที่ประเทศที่ไม่ถูกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด ต่างรับประโยชน์ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย
กล่าวคือ สหรัฐฯ นำเข้ากุ้งจากอินโดนีเซียสิงหาคม 4,757 ตัน เทียบ 2,049 ตันเดือนเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้น 2.3 เท่า ทำให้ปริมาณกุ้งนำเข้าอินโดนีเซียของสหรัฐฯ ช่วง 8 เดือนแรก สูงกว่าการนำเข้าทั้งปี 2546 ส่วนการนำเข้ากุ้งจากไทยสิงหาคม ลดลง 55% จากเดือนเดียวกันปีก่อน แต่ปริมาณรวมช่วง 8 เดือนแรก นำเข้าสูงกว่าปีก่อน 5%
การพิจารณาอัตราภาษีทุ่มตลาดขั้นสุดท้ายของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ หลายฝ่ายในอุตสาหกรรมกุ้งเห็นว่า เอกวาดอร์ บราซิล ไทย และเวียดนาม อาจถูกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดขั้นสุดท้า ต่ำกว่าภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดเบื้องต้น ที่ประกาศไปแล้ว
ผลพิจารณาภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดขั้นสุดท้ายสำหรับจีนและเวียดนาม จะประกาศวันที่ 29 พฤศจิกายน สำหรับเอกวาดอร์ บราซิล อินเดีย และไทย ประกาศวันที่ 17 ธันวาคม
ผลกระทบอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดขั้นสุดท้ายสำหรับการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไทย แยกพิจารณาได้ดังนี้
- อัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด แนวโน้มสูงขึ้น…ถ้าสหรัฐฯ ใช้การคำนวณแบบ Zeroing ถ้าสหรัฐฯ ใช้วิธีคำนวณแบบไม่นำรายการขายในตลาดสหรัฐฯ ที่ราคาสูงกว่าตลาดต่างประเทศ หรือสูงกว่าต้นทุนผลิตรวมกำไร มาคำนวณ (Zeroing)
ซึ่งจะส่งผลให้อัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดของผู้ส่งออกไทย แนวโน้มสูงขึ้นจากภาษีขั้นต้นที่ใช้อยู่ปัจจุบัน ทุกบริษัทส่งออกมีสิทธิจะถูกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดทั้งหมด ปัจจัยสนับสนุนอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด น่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้น คือกลุ่มพันธมิตรชาวประมงกุ้งสหรัฐฯ จะขอให้นำกฎหมาย "The U.S. Dumping and Subsidy Offset Act of 2000" หรือ "Byrd Amendment" มาใช้
ทำให้ศุลกากรสหรัฐฯ สามารถนำภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด ชดเชยให้อุตสาหกรรมกุ้งภายใน ที่ได้รับผลกระทบ ส่งผลกลุ่มผู้ฟ้อง ต้องพยายามทำให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดอัตราที่สูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สัญญาณทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่า โอกาสที่ไทยจะหลุดจากภาษีเอดี เป็นไปได้ยาก แนวโน้มอาจถูกเก็บอัตราสูงกว่าอัตราภาษีขั้นต้น
-อัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดแนวโน้มต่ำลง…ถ้าสหรัฐฯ ใช้การคำนวณ
แบบเฉลี่ย สมาคมกุ้งไทยคาดว่า แนวโน้มอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดที่สหรัฐฯ จะเก็บจากผู้ส่งออกกุ้งไทย น่าจะดีขึ้น
- อาจถูกเก็บประมาณ 3-4% ต่ำกว่าอัตราขั้นต้น ที่เก็บที่ 6.39% ข้อต่อรอง
ประเทศผู้ส่งออกกุ้งไปตลาดสหรัฐฯ คืองดนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากสหรัฐฯ เพื่อเป็นวัตถุดิบอุตสาหกรรมอาหารกุ้ง
การเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดกุ้ง จะส่งผลธุรกิจถั่วเหลือง ตั้งแต่ชาวไร่ถึงผู้ส่งออก ต้องเสียผลประโยชน์ จีนถือเป็นประเทศผู้นำเข้าถั่วเหลืองลำดับต้นๆ ของสหรัฐฯ สำหรับในไทย กลุ่ม 9 สมาคม ได้แก่ สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป สมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและรำข้าว สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำไทย สมาคมผู้เลี้ยงไก่เพื่อการส่งออกไทย สมาคมอาหารสัตว์ไทย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งทะเลไทย สมาคมส่งเสริมผู้ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์
ออกแถลงการณ์ร่วมกัน ว่าจะไม่นำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง และกากถั่วเหลือง จากสหรัฐฯ เช่นกัน รวมทั้งกรมการค้าต่างประเทศ ส่งหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เรียกร้องให้สหรัฐฯ ใช้วิธีคำนวณแบบเฉลี่ย
โดยนำรายการจำหน่ายกุ้งในตลาดสหรัฐฯ ที่ราคาสูงกว่าตลาดต่างประเทศ หรือสูงกว่าต้นทุนผลิตรวมกำไร คำนวณเฉลี่ยรวมกับรายการจำหน่ายกุ้งในสหรัฐฯ ที่ราคาต่ำกว่าตลาดต่างประเทศ หรือต่ำกว่าต้นทุนผลิตแทน การคำนวณแบบ Zeroing
คาดว่าการดำเนินการดังกล่าว จะทำให้อัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด ที่ไทยจะถูกเก็บ ต่ำลงจากอัตราประกาศขั้นต้น กล่าวคือ ไทยน่าจะถูกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดประมาณ 3-4%
นอกจากประเด็นอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดขั้นสุดท้าย ประเด็นน่าจับตามอง คือ การนำเข้ากุ้งขนาดใหญ่และเล็กของสหรัฐฯ เริ่มมีแนวโน้มลดลง ประเทศที่ครอบครองตลาดกุ้งขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ คือ อินเดีย บังคลาเทศ ไทย และเวียดนาม
ส่วนกุ้งขนาดเล็ก ประเทศที่ครอบครองตลาด คือ เอกวาดอร์ เวเนซูเอลลา ไทย และบราซิล ขณะที่สหรัฐฯ นำเข้ากุ้งขนาดกลาง เพิ่มขึ้น ประเทศที่ครอบครองตลาดกุ้งขนาดกลางในสหรัฐฯ คือ ไทย อินโดนีเซีย และเม็กซิโก
สินค้ากุ้งแปรรูป แนวโน้มขยายตัวรวดเร็ว โดยเฉพาะกุ้งแปรรูปอื่นๆ ทั้งแช่แข็ง และไม่ได้แช่แข็ง (Shrimp Frozen Other Preparations และ Others Preparations Non-frozen) และกุ้งคลุกขนมปัง (Breaded Frozen) ส่วนกุ้งปอกเปลือก การนำเข้าแนวโน้มลดลง
•ตลาดญี่ปุ่น…การแข่งขันรุนแรง
ช่วงปีนี้ ตลาดญี่ปุ่นแนวโน้มนำเข้ากุ้งเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม กุ้งที่ญี่ปุ่นนำเข้าเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นกุ้งอินเดีย เวียดนาม และจีน ทำให้อินโดนีเซียและเวียดนาม เป็นแหล่งนำเข้ากุ้งสำคัญของญี่ปุ่น ทั้ง 2 ประเทศ ครองสัดส่วนตลาดมากกว่า 40% ของปริมาณนำเข้ากุ้งทั้งหมดของญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตามอง คือบราซิล เริ่มเป็นคู่แข่งมาแรงในตลาดญี่ปุ่น แม้กุ้งส่วนใหญ่ของบราซิล จะส่งออกตลาดสหภาพยุโรปมากกว่าก็ตาม ผู้ส่งออกไทยต้องติดตามผลกระทบ จากการประกาศภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลบวกและลบถึงการแข่งขันในตลาดญี่ปุ่น
กล่าวคือ การแข่งขันในตลาดญี่ปุ่นจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ จะลดลง เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศนี้ ไม่อยู่ในรายชื่อประเทศถูกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด ทำให้ทั้ง 2 ประเทศ หันส่งออกกุ้งไปตลาดสหรัฐฯ มากขึ้น ขณะที่ประเทศที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดในสหรัฐฯ จะหันจับตลาดญี่ปุ่นแทน
ปัจจุบัน ญี่ปุ่นนำเข้ากุ้งและผลิตภัณฑ์ 53,000-54,000 ตัน มูลค่า 60,000-70,000 ล้านเยน (550-642 ล้านดอลลาร์) ไทยติดอันดับ 5 ของแหล่งนำเข้ากุ้งและผลิตภัณฑ์ของญี่ปุ่น รองจาก อินโดนีเซีย เวียดนาม อินเดีย และจีน ตามลำดับ
เดิม ญี่ปุ่นเคยนำเข้ากุ้งและผลิตภัณฑ์จากไทยอันดับ 1 แต่หลังจากเกิดโรคระบาดพื้นที่เพาะเลี้ยงกุ้ง ทำให้ญี่ปุ่นหันไปนำเข้าจากอินโดนีเซียและเวียดนาม มากขึ้น กุ้งและผลิตภัณฑ์ของไทย ที่ส่งไปตลาดญี่ปุ่น ส่วนใหญ่เป็นกุ้งปอกเปลือก และมีหาง (Peeled Tail-on)
คู่แข่งสำคัญของไทย ส่งออกกุ้งประเภทนี้ คือเวียดนาม การเจาะขยายตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น สำหรับผู้ส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ของไทย ต้องพิจารณาแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคในญี่ปุ่น ที่เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม
กล่าวคือ ตลาดญี่ปุ่นเริ่มต้องการกุ้งขนาดกลางเพิ่มขึ้น จากเดิม ต้องการเพียงกุ้งขนาดใหญ่ เป็นผลจากอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปในญี่ปุ่น ต้องการกุ้งขนาดกลาง เพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบทำซูชิและเทมปุระ รวมทั้งผู้บริโภคญี่ปุ่น เริ่มนิยมบริโภคกุ้งขนาดกลางมากขึ้น มีแนวโน้ม ว่าตลาดญี่ปุ่นเริ่มนำเข้ากุ้งแปรรูปเพิ่มขึ้น สัดส่วนนำเข้ากุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ขยายตัวชะลอ โดยเฉพาะกุ้งคลุกขนมปังป่น ซูชิ และผลิตภัณฑ์กุ้งแปรรูปประเภทอื่นๆ
•ตลาดสหภาพยุโรป…รอการพิจารณาคืนจีเอสพี
ผู้ส่งออกกุ้งไทย กำลังรอการพิจารณาคืนสิทธิจีเอสพี เนื่องจากอียูกำลังทบทวนการคืนสิทธิพิเศษดังกล่าวให้กลุ่มประเทศต่างๆ อียูจะให้สิทธิพิเศษรอบใหม่ ปี 2549-2558 วิธีคำนวณใหม่ มูลค่าส่งออกกุ้งไทยไปอียู น้อยมาก ส่วนแบ่งไม่ถึง 15% ของมูลค่าส่งออกกุ้งไปอียู จากทุกประเทศที่ได้รับจีเอสพี
หากอียูคืนสิทธิจีเอสพีกุ้งให้ไทย จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศมาก ทำให้อียูจะกลับมาเป็นตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งสำคัญ เช่นเดียวกับก่อนปี 2541 เนื่องจากกุ้งไทยเสียเปรียบการแข่งขันตลาดนี้ตั้งแต่ปี 2541
ทำให้การนำเข้าผลิตภัณฑ์กุ้งจากไทยของอียู ลดจาก 192 ล้านยูโรปี 2541 เหลือเพียง 5 ล้านยูโรปี 2546 ลดลงมากกว่า 90% ถ้าอียูคืนจีเอสพีให้ไทย จะส่งผลเพิ่มยอดส่งออกกุ้งไทยอีกมาก การส่งออกกุ้งไทยไปอียู จะเพิ่มเป็น 70,000 ตันต่อปี จากปัจจุบัน ส่งออกไปอียูเพียง 5,000 ตัน
เนื่องจากอียูเก็บภาษีนำเข้ากุ้งไทยสูงถึง 12% สำหรับกุ้งสด และ 20% สำหรับกุ้งแปรรูป ขณะที่ประกาศว่า จะยังคงให้สิทธิพิเศษภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (จีเอสพี) กับคู่แข่งสำคัญของไทย โดยเฉพาะอินโดนีเซีย โดยคงภาษีนำเข้ากุ้งสดจากอินโดนีเซียที่ 3.5% กุ้งแช่แข็ง 7.5%
เป็นโอกาสของอินโดนีเซีย ขยายการส่งออก รวมทั้งการที่สหภาพยุโรปมีมติยกเลิกห้ามนำเข้ากุ้งจากจีน สหภาพยุโรปเคยตรวจพบสารเคมีตกค้างในผลิตภัณฑ์กุ้งจากจีน ส่งผลจีนกลับมาเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดสหภาพยุโรปอีกครั้ง
คู่แข่งขันสำคัญของการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ไปตลาดสหภาพยุโรป คือประเทศแถบอเมริกาใต้ โดยเฉพาะอาเจนตินา บราซิล เอกวาดอร์ โมร็อคโค และโคลัมเบีย ประเทศเหล่านี้ ครองสัดส่วนอันดับต้นๆ ของการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ ไปตลาดสหภาพยุโรป
การส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไทยไปตลาดอียู แนวโน้มลดต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2540 อียูตัดจีเอสพีผลิตภัณฑ์กุ้งไทย ปัจจุบัน การส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งไทยไปตลาดอียู เพียง 1-2% ของมูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งทั้งหมด
ประเด็นน่าสนใจ คือคู่แข่งสำคัญของไทยในตลาดสหภาพยุโรป เป็นประเทศที่ถูกสหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดสูงกว่าไทย ประเทศเหล่านี้ แนวโน้มจะหันมาเจาะขยายตลาดสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น
เท่ากับผู้ส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ของไทย จะเผชิญการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นในตลาดนี้ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จเจาะขยายตลาดอียูเพิ่มขึ้นของผู้ส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ ต้องผลักดันให้อียูทบทวนให้จีเอสพี ต้องเท่าเทียมกัน ถ้าอัตราภาษีนำเข้าของไทยลดลง เทียบเท่าอินโดนีเซีย สถานการณ์ส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ไปตลาดอียูของไทย จะมีแนวโน้มสดใสขึ้น
บราซิล…คู่แข่งที่กำลังมาแรง
นอกจากสถานการณ์ตลาดส่งออกสำคัญ ผู้ส่งออกกุ้งไทยยังต้องจับตาบราซิล ซึ่งคาดว่าจะเป็นคู่แข่งมาแรงปี 2548 นอกจากคู่แข่งขันรายเดิม อย่างจีน เวียดนาม อินเดีย และเอกวาดอร์
ปัจจุบัน บราซิลจัดเป็นผู้ผลิตกุ้งอันดับ 7 ของโลก การเพาะเลี้ยงกุ้งของบราซิลขยายต่อเนื่อง เป็นผลจากนโยบายส่งเสริมการเลี้ยงกุ้งของรัฐบาล รวมทั้งยกระดับเทคโนโลยีเลี้ยงกุ้ง และสภาพอากาศเอื้ออำนวย
โดยเฉพาะพื้นที่แถบตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ทำให้ผลผลิตกุ้งบราซิลเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% แต่ละปี คาดว่าปี 2548 เนื้อที่เพาะเลี้ยงกุ้งบราซิลจะเพิ่มเป็น 20,000 เฮกตาร์ (ประมาณ 125,000 ไร่) ผลผลิต 160,000 ตัน เทียบปีนี้ เพิ่มขึ้น 17.6% และ 33.3% ตามลำดับ
ส่วนการส่งออก ปี 2548 รัฐบาลบราซิลตั้งเป้าหมายส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ 500 ล้านดอลลาร์ คาดว่าปี 2553 บราซิลจะกลายเป็นผู้ส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์สำคัญของโลก มูลค่าส่งออกจะเพิ่มเป็น 1,500 ล้านดอลลาร์
เนื่องจากบราซิลเริ่มหันมาผลิตกุ้งแปรรูปเพื่อส่งออก เพื่อตอบสนองความต้องการตลาดมากขึ้น จากเดิม ส่งออกกุ้งบราซิลที่ยังไม่แปรรูป บราซิลจึงสามารถเพิ่มมูลค่าส่งออกกุ้งอีกมาก สหรัฐฯ ถือว่าเป็นตลาดส่งออกหลักของบราซิล สัดส่วนประมาณ 45% ของการส่งออกกุ้งทั้งหมดของบราซิล
ตลาดสหภาพยุโรป บราซิลก็เป็นประเทศสำคัญอันดับต้นๆ ของการส่งออกกุ้งไปตลาดสหภาพยุโรป มูลค่าส่งออกปีนี้ เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว โดยเฉพาะตลาดสเปน ฝรั่งเศส เนื่องจากกุ้งที่บราซิลส่งออก เป็นกุ้งขาว (P.vannamei) ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญอุตสาหกรรมอาหารของสหภาพยุโรป
สรุป
ทิศทางธุรกิจกุ้งไทยปี 2548 จะชัดเจนมากขึ้น เมื่อทราบผลตัดสินอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และการคืนจีเอสพีให้ผลิตภัณฑ์กุ้งไทย สำหรับตลาดอียู ทั้ง 2 ปัจจัยนี้ จะส่งผลอย่างมาก กำหนดทิศทางส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งปี 2548 ส่งผลต่อเนื่องทิศทางราคากุ้ง และปริมาณผลผลิตกุ้งปี 2548 ด้วย
การกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาผลิตภัณฑ์กุ้งไทยระยะยาวน รัฐบาลมุ่งเน้นเร่งพัฒนาบนพื้นฐานความเป็นจริง หวังจะให้ไทยกลับมาเป็นอันดับ 1 ผลผลิตการเพาะเลี้ยงให้ได้ หลังจากถูกจีนแซงหน้าตั้งแต่ปี 2546
กรมประมงจัดสรรงบประมาณปี 2548 ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ นำไปดำเนินการ เพิ่มการศึกษาวิจัย เพื่อให้ตอบสนองยุทธศาสตร์ที่วางไว้ สำหรับนโยบายเตรียมรับมือการแข่งขันรุนแรงในตลาดโลก
คือกำหนดยุทธศาสตร์กุ้งและผลิตภัณฑ์ (ปี 2547-2551) กำหนดเป้าหมายผลผลิตกุ้งปี 2551 จะมี 481,250 ตัน คิดเป็นมูลค่าส่งออก 100,800 ล้านบาท ขณะที่ผลที่จะได้รับจากยุทธศาสตร์ คือขยายพื้นที่เลี้ยงเหมาะสมอีกประมาณ 50,000 ไร่ กำหนดสัดส่วนผลิตกุ้งกุลาดำต่อกุ้งขาวแวนนาไมเป็น 30:70 กำหนดสัดส่วนผลิตกุ้งกุลาดำขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอีก 12% เพื่อมุ่งตลาดเฉพาะ