บันยันทรี ลุยขยายธุรกิจ เปิดโรงแรมเพิ่ม 9 แห่ง ไทย กรีก เม็กซิโก ดูไบ โมร็อกโค และจีน หวังขยายตลาดเข้าคลุมในอเมริกาใต้ และอเมริกา หลังอั้นการลงทุนมานาน เหตุปัญหาเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ก่อการร้ายรุมเร้า เผยช่วงนี้เป็นเวลาที่เหมาะแก่การลงทุนแล้ว เพราะมั่นใจลูกค้าโรงแรม 5 ดาว ไม่หวั่นเหตุการณ์ และเข้าใจทุกอย่างด้วยดี รวมพลเข้ากลุ่มรีดดิ้ง
นายเบอร์โนลด์ โอ-ชโรเดอร์ รองประธานฝ่ายปฎิบัติการบันยันทรี โฮเทล แอนด์ รีสอร์ต และผู้จัดการทั่วไป บันยันทรี กรุงเทพ ในเครือบันยันทรี โฮลดิ้ง เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนขยายธุรกิจในปีหน้า ด้วยการลงทุนสร้างโรงแรมภายใต้แบรนด์ “บันยันทรี” รวม 9 แห่ง ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ประกอบด้วย เชียงใหม่ 1 แห่ง ดูไบ 2 แห่ง เม็กซิโก 2 แห่ง จีน 2 แห่ง โมร็อคโค 1 แห่ง และ กรีก 1 แห่ง ทั้งหมด จะเป็นรีสอร์ต ขนาด 50 ถึง 100 วิลล่า โดยบางแห่งจะเป็นการร่วมทุนกับผู้ประกอบการท้องถิ่น สำหรับในส่วนของเชียงใหม่ จะเริ่มก่อสร้างในปีหน้า บริษัทเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด
ทั้งนี้การที่บริษัทได้ลงทุนขยายงานมาก เป็นเพราะสบโอกาสที่เหมาะ เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัท มีแนวคิดที่จะลงทุนขยายกิจการเพิ่มเติมอยู่แล้ว แต่ต้องมาติดภาวะวิกฤตเศรษบกิจโลก เหตุก่อการร้ายในอเมริกา (ระเบิดตึกเวิลด์เทรด 11 ก.ย.) การระเบิดที่บาหลี เป็นต้น ทำให้ ต้องรอดูสถานการณ์ และมองว่า จากปีหน้าเป็นต้นไป สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของโลกก็จะดีขึ้น เหมาะสมกับการลงทุน ซึ่งจากวิกฤติที่ผ่านมา ทำให้บริษัทได้รับรู้ว่า กลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ ของโรงแรมและรีสอร์ต 5 ดาว เป็นกลุ่มคนที่มีความรู้และติดตามข่าวสารเป็นอย่างดี จึงเข้าในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงวิธีการแก้ไข จึงทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ดำเนินชิวิตปกติทั้งในเรื่องการพักผ่อนและการเดินทาง
นายเบอร์โนลด์ กล่าวว่า นอกจาก 9 แห่งที่กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างและเตรียมการก่อสร้าง บริษัทยังได้มองหาพื้นที่ใหม่ๆในการลงทุน ซึ่งนโยบายของบันยันทรี ชอบที่จะศึกษาและเปิดตลาดในพื้นที่และทำเลใหม่ๆ ในส่วนของประเทศไทย ที่มองไว้คือ เกาะสมุย ส่วนในต่างประเทศ แคร์รีเบียน และโครเอเชีย เป็นต้น
“ปัจจุบัน โรงแรมและรีสอร์ท ภายใต้แบรนด์บันยันทรี ที่เปิดให้บริการแล้วมี 14 แห่งทั่วโลก ในไทยมีที่ภูเก็ต และกรุงเทพ กว่า 70% เป็นตลาดในยุโรป ซึ่งหากเราขยายกิจการเข้าไปที่เม็กซิโก จะทำให้เราสามารถคลอบคลุมตลาดที่อเมริกา และอเมริกาใต้ได้เพิ่มขึ้น สำหรับราคาห้องพักของบันยันทรีเฉลี่ย 20,000-40,000 บาทต่อคืน”
อย่างไรก็ตามในส่วนของบันยันทรีกรุงเทพ ซึ่งถือเป็นโรงแรมเดียวของบันยันทรีทั่วโลก ที่ตั้งในตัวเมือง ปัจจุบันมีอัตราเข้าพักที่ 82% ของจำนวนห้อง ขณะที่บันยันทรีภูเก็ต มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 77% ล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญานำกลุ่มโรงแรมบันยันทรี เข้าเป็นสมาชิก ในกลุ่ม รีดดิ้ง โฮเทล อินเดอะเวิลด์ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา จากก่อนหน้านี้ บันยันทรีอยู่ในกลุ่มสมาชิกของสมอล ลักซ์ซูรี่ โฮเทล ซึ่งการเข้าเป็นสมาชิกของรีดดิ้ง โฮเทลฯ จะช่วยเสริมศักยภาพของบริษัทในเรื่องระบบการจอง ที่มีความเป็นมาตรฐานขึ้น นอกเหนือจากคอนเซปต์การเป็นบูติค โฮเตล เมื่ออยู่ในกลุ่มของสมอลโฮเตล
นายเบอร์โนลด์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากแบรนด์บันยันทรีแล้ว บริษัท ยังมีโรงแรมอีกหลายแบรนด์ เช่น อังสนา โฮเทล เปิดบริการแล้วที่ บินตัน ประเทศอินโดนีเซีย , มัลดีฟ , ออสเตรเลีย และอินเดีย ส่วนแบรนด์ คัลเลอร์อังสนา โฮเทล จะสร้างในเมืองที่ได้รับว่าเป็นมรดกโลก เช่น ยูนาน ประเทศจีน , ศรีลังกา และล่าสุดจะเปิดบริการในเดือนธันวาคมนี้ที่หลวงพระบางประเทศลาว ซึ่งทั้ง 2 แบรนด์จะแตกต่างกันออกไปอีกในเรื่องของรูปแบบการตกแต่ง ที่จะมีความเป็นบูติคมากขึ้น
นายเบอร์โนลด์ โอ-ชโรเดอร์ รองประธานฝ่ายปฎิบัติการบันยันทรี โฮเทล แอนด์ รีสอร์ต และผู้จัดการทั่วไป บันยันทรี กรุงเทพ ในเครือบันยันทรี โฮลดิ้ง เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนขยายธุรกิจในปีหน้า ด้วยการลงทุนสร้างโรงแรมภายใต้แบรนด์ “บันยันทรี” รวม 9 แห่ง ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ประกอบด้วย เชียงใหม่ 1 แห่ง ดูไบ 2 แห่ง เม็กซิโก 2 แห่ง จีน 2 แห่ง โมร็อคโค 1 แห่ง และ กรีก 1 แห่ง ทั้งหมด จะเป็นรีสอร์ต ขนาด 50 ถึง 100 วิลล่า โดยบางแห่งจะเป็นการร่วมทุนกับผู้ประกอบการท้องถิ่น สำหรับในส่วนของเชียงใหม่ จะเริ่มก่อสร้างในปีหน้า บริษัทเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด
ทั้งนี้การที่บริษัทได้ลงทุนขยายงานมาก เป็นเพราะสบโอกาสที่เหมาะ เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัท มีแนวคิดที่จะลงทุนขยายกิจการเพิ่มเติมอยู่แล้ว แต่ต้องมาติดภาวะวิกฤตเศรษบกิจโลก เหตุก่อการร้ายในอเมริกา (ระเบิดตึกเวิลด์เทรด 11 ก.ย.) การระเบิดที่บาหลี เป็นต้น ทำให้ ต้องรอดูสถานการณ์ และมองว่า จากปีหน้าเป็นต้นไป สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของโลกก็จะดีขึ้น เหมาะสมกับการลงทุน ซึ่งจากวิกฤติที่ผ่านมา ทำให้บริษัทได้รับรู้ว่า กลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ ของโรงแรมและรีสอร์ต 5 ดาว เป็นกลุ่มคนที่มีความรู้และติดตามข่าวสารเป็นอย่างดี จึงเข้าในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงวิธีการแก้ไข จึงทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ดำเนินชิวิตปกติทั้งในเรื่องการพักผ่อนและการเดินทาง
นายเบอร์โนลด์ กล่าวว่า นอกจาก 9 แห่งที่กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างและเตรียมการก่อสร้าง บริษัทยังได้มองหาพื้นที่ใหม่ๆในการลงทุน ซึ่งนโยบายของบันยันทรี ชอบที่จะศึกษาและเปิดตลาดในพื้นที่และทำเลใหม่ๆ ในส่วนของประเทศไทย ที่มองไว้คือ เกาะสมุย ส่วนในต่างประเทศ แคร์รีเบียน และโครเอเชีย เป็นต้น
“ปัจจุบัน โรงแรมและรีสอร์ท ภายใต้แบรนด์บันยันทรี ที่เปิดให้บริการแล้วมี 14 แห่งทั่วโลก ในไทยมีที่ภูเก็ต และกรุงเทพ กว่า 70% เป็นตลาดในยุโรป ซึ่งหากเราขยายกิจการเข้าไปที่เม็กซิโก จะทำให้เราสามารถคลอบคลุมตลาดที่อเมริกา และอเมริกาใต้ได้เพิ่มขึ้น สำหรับราคาห้องพักของบันยันทรีเฉลี่ย 20,000-40,000 บาทต่อคืน”
อย่างไรก็ตามในส่วนของบันยันทรีกรุงเทพ ซึ่งถือเป็นโรงแรมเดียวของบันยันทรีทั่วโลก ที่ตั้งในตัวเมือง ปัจจุบันมีอัตราเข้าพักที่ 82% ของจำนวนห้อง ขณะที่บันยันทรีภูเก็ต มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 77% ล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญานำกลุ่มโรงแรมบันยันทรี เข้าเป็นสมาชิก ในกลุ่ม รีดดิ้ง โฮเทล อินเดอะเวิลด์ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา จากก่อนหน้านี้ บันยันทรีอยู่ในกลุ่มสมาชิกของสมอล ลักซ์ซูรี่ โฮเทล ซึ่งการเข้าเป็นสมาชิกของรีดดิ้ง โฮเทลฯ จะช่วยเสริมศักยภาพของบริษัทในเรื่องระบบการจอง ที่มีความเป็นมาตรฐานขึ้น นอกเหนือจากคอนเซปต์การเป็นบูติค โฮเตล เมื่ออยู่ในกลุ่มของสมอลโฮเตล
นายเบอร์โนลด์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากแบรนด์บันยันทรีแล้ว บริษัท ยังมีโรงแรมอีกหลายแบรนด์ เช่น อังสนา โฮเทล เปิดบริการแล้วที่ บินตัน ประเทศอินโดนีเซีย , มัลดีฟ , ออสเตรเลีย และอินเดีย ส่วนแบรนด์ คัลเลอร์อังสนา โฮเทล จะสร้างในเมืองที่ได้รับว่าเป็นมรดกโลก เช่น ยูนาน ประเทศจีน , ศรีลังกา และล่าสุดจะเปิดบริการในเดือนธันวาคมนี้ที่หลวงพระบางประเทศลาว ซึ่งทั้ง 2 แบรนด์จะแตกต่างกันออกไปอีกในเรื่องของรูปแบบการตกแต่ง ที่จะมีความเป็นบูติคมากขึ้น