นายกรัฐมนตรีประกาศท่ามกลางที่ประชุมผู้บริหารกองทุนชั้นนำของโลกในงานไทยแลนด์โฟกัส 2004 ยืนยันภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้น แม้จะประสบปัญหาภายนอกที่อยู่เหนือการควบคุมมากมาย พร้อมชูนโยบายโลจิสติกส์เพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของประเทศในอนาคต และย้ำขจัดปัญหาความยากจนหมดสิ้นภายในปี 2552
นายกรัฐมนตรีย้ำไทยแลนด์โฟกัสมีความหมายกับประเทศไทย
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานไทยแลนด์ โฟกัส 2004 พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ ว่า ความสำเร็จของประชุมครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทย เศรษฐกิจไทยและตลาดทุนของไทย เนื่องจากเป็นโอกาสที่ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดทุนในทุกกลุ่มทั้งจากไทยและอีกหลายสิบประเทศจะได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็นและทัศนะ ซึ่งประเทศไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักลงทุนต่างชาติจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศไทย ตลาดทุนไทยและศักยภาพของเศรษฐกิจไทยมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันไทยจะได้ทราบเกี่ยวกับความเห็นและความสนใจของนักลงทุนต่างชาติต่อประเทศไทยมากขึ้นเช่นกัน
ระบุส่งออกเติบโตเพราะคุณภาพสินค้า
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมาแม้ประเทศไทยประสบปัญหาจากภายนอกที่อยู่เหนือการควบคุมมากมาย เช่นเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 การระบาดของโรคซาร์ส สงครามตะวันออกกลาง การขยายตัวของการก่อการร้ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไข้หวัดนกระบาด การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปที่ยังอยู่ในภาวะไม่แน่นอน ขณะที่การขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็ไม่ช่วยเพิ่มการจ้างงาน ซึ่งหมายถึงการเพิ่มกำลังซื้อสินค้าของไทย แต่การส่งออกของไทยไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่กล่าวมา โดยจุดแข็งในภาคการส่งออกของไทยไม่ได้มาจากแรงงานราคาถูกหรือสินค้าราคาถูก แต่มาจากคุณภาพของสินค้าที่สามารถต้านทานแรงกดดันด้านราคาในตลาดโลกที่มีการแข่งขันอย่างสูง และหลายคนอาจสงสัยว่า เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบหนักจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นในขณะนี้หรือไม่ ซึ่งต้องยอมรับว่า ไทยก็เหมือนหลายประเทศที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบเรื่องราคาน้ำมันได้ แต่ไทยเชื่อว่าการกำหนดนโยบายอย่างรอบคอบร่วมกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง จะทำให้เศรษฐกิจไทยรักษาการขยายตัวในระดับสูงได้ต่อไป โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 6 ในสิ้นปีนี้
เผยฐานะของประเทศไทยทุกด้านดีขึ้นมาก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันหนี้ต่างประเทศของไทยได้ลดลงอย่างมากจากเกือบ 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อ 3 ปีก่อน เหลือไม่ถึง 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในขณะนี้ ขณะที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากมาอยู่ที่ 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อปีที่แล้ว บรรดาสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทุกแห่งได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตของไทย เช่น เอสแอนด์พี ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตเงินสกุลต่างประเทศระยะยาวของไทยจาก BBB เป็น BBB + ส่วนเรื่องของการใช้จ่ายงบประมาณนั้น รัฐบาลไทยใช้ไปร้อยละ 89.9 ของงบประมาณที่กำหนดไว้ หมายความว่า ไทยไม่ได้ขาดดุลงบประมาณ
ชูนโยบายโลจิสติกส์เพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่าในแง่การส่งเสริมการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศนั้น รัฐบาลได้วางนโยบายสำคัญจำนวนมากในเรื่องการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพให้แก่อุตสาหกรรมการผลิตและการบริการในปัจจุบัน เช่น การขนส่งมวลชนและระบบขนส่งต่างๆ รัฐบาลจะดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายการสื่อสารและการขนส่งต่อไป เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาการผลิตและการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีแผนจะพัฒนาเครือข่ายเหล่านี้เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งภาคพื้นดินในภูมิภาคนี้ รวมทั้งจะพัฒนาประสิทธิภาพของบริการขนส่งทางอากาศ เพื่อรักษาสถานภาพการเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอาไว้ เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญในการใช้งบประมาณพัฒนาระบบขนส่งเป็นจำนวนมาก เพื่อต้องการสร้างขีดความสามารถของไทยแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน
นายกรัฐมนตรียืนยันขจัดความยากจนหมดในปี 2552
สำหรับความเข้มแข็งทางสังคมนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ริเริ่มนโยบายหลากหลายเพื่อขจัดความยากจนของคนไทย โดยมีเป้าหมายที่ขจัดความยากจนให้หมดไปจากประเทศภายในปี 2552 จากการที่รัฐบาลใช้วิธีเน้นประชาชนเป็นหลัก ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้โดยตรงและมีประสิทธิภาพ รัฐบาลยังได้เอื้อให้ประชาชนเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้นด้วยการดำเนินนโยบายต่าง ๆ เช่น กองทุนหมู่บ้าน ธนาคารประชาชน การปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)
นายกรัฐมนตรีระบุว่า นโยบายและมาตรการต่างๆ ที่ได้กล่าวไปแล้วเป็นพื้นฐานจำเป็นในการสร้างความรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศไทย ซึ่งได้ก่อให้เกิดทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ เช่น ภาพการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อปีที่แล้วที่มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น พิสูจน์ให้เห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในประเทศไทย โดยปีที่แล้วดัชนีหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 117 เป็นอัตราที่สูงที่สุดในโลก ขณะที่มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เมื่อคิดในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 148 เป็นอัตราที่สูงที่สุดในโลกเช่นกันและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของไทยยังมีอนาคตสดใสมาก เนื่องจากมีการคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจไทยยังคงเฟื่องฟู บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่มีผลประกอบการเติบโตในอัตราที่แข็งแกร่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์ใหม่ MAI มีกำไรมากเป็นประวัติการณ์ถึง 4,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 22 ต่อปี อย่างไรก็ตาม การสร้างโอกาสในการลงทุนเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถดึงความสนใจของนักลงทุนได้ เนื่องจากนักลงทุนยังให้ความสำคัญเรื่องความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของตลาดหลักทรัพย์ไทยด้วย ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงได้นำเรื่องธรรมาภิบาลมาบรรจุไว้ในวาระแห่งชาติ โดยตั้งคณะกรรมการธรรมาภิบาลแห่งชาติเพื่อปรับปรุงการบริหารงานของบริษัทจดทะเบียน ที่เน้นเรื่องการส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมาย การกำหนดระเบียบในตลาดหลักทรัพย์ฯ และการส่งเสริมเรื่องการควบคุมตนเอง ซึ่งเป็นมาตรการล่าสุดที่รัฐบาลไทยดำเนินการเพื่อให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในประเทศไทยมากขึ้น และเพิ่มความน่าเชื่อถือและความยั่งยืนของตลาดทุนไทย
นายกรัฐมนตรีย้ำไทยแลนด์โฟกัสมีความหมายกับประเทศไทย
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานไทยแลนด์ โฟกัส 2004 พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ ว่า ความสำเร็จของประชุมครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทย เศรษฐกิจไทยและตลาดทุนของไทย เนื่องจากเป็นโอกาสที่ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดทุนในทุกกลุ่มทั้งจากไทยและอีกหลายสิบประเทศจะได้มีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็นและทัศนะ ซึ่งประเทศไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักลงทุนต่างชาติจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศไทย ตลาดทุนไทยและศักยภาพของเศรษฐกิจไทยมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันไทยจะได้ทราบเกี่ยวกับความเห็นและความสนใจของนักลงทุนต่างชาติต่อประเทศไทยมากขึ้นเช่นกัน
ระบุส่งออกเติบโตเพราะคุณภาพสินค้า
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมาแม้ประเทศไทยประสบปัญหาจากภายนอกที่อยู่เหนือการควบคุมมากมาย เช่นเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 การระบาดของโรคซาร์ส สงครามตะวันออกกลาง การขยายตัวของการก่อการร้ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไข้หวัดนกระบาด การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปที่ยังอยู่ในภาวะไม่แน่นอน ขณะที่การขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็ไม่ช่วยเพิ่มการจ้างงาน ซึ่งหมายถึงการเพิ่มกำลังซื้อสินค้าของไทย แต่การส่งออกของไทยไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่กล่าวมา โดยจุดแข็งในภาคการส่งออกของไทยไม่ได้มาจากแรงงานราคาถูกหรือสินค้าราคาถูก แต่มาจากคุณภาพของสินค้าที่สามารถต้านทานแรงกดดันด้านราคาในตลาดโลกที่มีการแข่งขันอย่างสูง และหลายคนอาจสงสัยว่า เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบหนักจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นในขณะนี้หรือไม่ ซึ่งต้องยอมรับว่า ไทยก็เหมือนหลายประเทศที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบเรื่องราคาน้ำมันได้ แต่ไทยเชื่อว่าการกำหนดนโยบายอย่างรอบคอบร่วมกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง จะทำให้เศรษฐกิจไทยรักษาการขยายตัวในระดับสูงได้ต่อไป โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 6 ในสิ้นปีนี้
เผยฐานะของประเทศไทยทุกด้านดีขึ้นมาก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันหนี้ต่างประเทศของไทยได้ลดลงอย่างมากจากเกือบ 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อ 3 ปีก่อน เหลือไม่ถึง 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในขณะนี้ ขณะที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากมาอยู่ที่ 43,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อปีที่แล้ว บรรดาสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทุกแห่งได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตของไทย เช่น เอสแอนด์พี ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตเงินสกุลต่างประเทศระยะยาวของไทยจาก BBB เป็น BBB + ส่วนเรื่องของการใช้จ่ายงบประมาณนั้น รัฐบาลไทยใช้ไปร้อยละ 89.9 ของงบประมาณที่กำหนดไว้ หมายความว่า ไทยไม่ได้ขาดดุลงบประมาณ
ชูนโยบายโลจิสติกส์เพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่าในแง่การส่งเสริมการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศนั้น รัฐบาลได้วางนโยบายสำคัญจำนวนมากในเรื่องการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพให้แก่อุตสาหกรรมการผลิตและการบริการในปัจจุบัน เช่น การขนส่งมวลชนและระบบขนส่งต่างๆ รัฐบาลจะดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่ายการสื่อสารและการขนส่งต่อไป เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาการผลิตและการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีแผนจะพัฒนาเครือข่ายเหล่านี้เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งภาคพื้นดินในภูมิภาคนี้ รวมทั้งจะพัฒนาประสิทธิภาพของบริการขนส่งทางอากาศ เพื่อรักษาสถานภาพการเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอาไว้ เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญในการใช้งบประมาณพัฒนาระบบขนส่งเป็นจำนวนมาก เพื่อต้องการสร้างขีดความสามารถของไทยแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน
นายกรัฐมนตรียืนยันขจัดความยากจนหมดในปี 2552
สำหรับความเข้มแข็งทางสังคมนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ริเริ่มนโยบายหลากหลายเพื่อขจัดความยากจนของคนไทย โดยมีเป้าหมายที่ขจัดความยากจนให้หมดไปจากประเทศภายในปี 2552 จากการที่รัฐบาลใช้วิธีเน้นประชาชนเป็นหลัก ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนได้โดยตรงและมีประสิทธิภาพ รัฐบาลยังได้เอื้อให้ประชาชนเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้นด้วยการดำเนินนโยบายต่าง ๆ เช่น กองทุนหมู่บ้าน ธนาคารประชาชน การปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)
นายกรัฐมนตรีระบุว่า นโยบายและมาตรการต่างๆ ที่ได้กล่าวไปแล้วเป็นพื้นฐานจำเป็นในการสร้างความรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศไทย ซึ่งได้ก่อให้เกิดทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ เช่น ภาพการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อปีที่แล้วที่มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น พิสูจน์ให้เห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในประเทศไทย โดยปีที่แล้วดัชนีหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 117 เป็นอัตราที่สูงที่สุดในโลก ขณะที่มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เมื่อคิดในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 148 เป็นอัตราที่สูงที่สุดในโลกเช่นกันและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของไทยยังมีอนาคตสดใสมาก เนื่องจากมีการคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจไทยยังคงเฟื่องฟู บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่มีผลประกอบการเติบโตในอัตราที่แข็งแกร่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์ใหม่ MAI มีกำไรมากเป็นประวัติการณ์ถึง 4,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 22 ต่อปี อย่างไรก็ตาม การสร้างโอกาสในการลงทุนเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถดึงความสนใจของนักลงทุนได้ เนื่องจากนักลงทุนยังให้ความสำคัญเรื่องความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของตลาดหลักทรัพย์ไทยด้วย ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงได้นำเรื่องธรรมาภิบาลมาบรรจุไว้ในวาระแห่งชาติ โดยตั้งคณะกรรมการธรรมาภิบาลแห่งชาติเพื่อปรับปรุงการบริหารงานของบริษัทจดทะเบียน ที่เน้นเรื่องการส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมาย การกำหนดระเบียบในตลาดหลักทรัพย์ฯ และการส่งเสริมเรื่องการควบคุมตนเอง ซึ่งเป็นมาตรการล่าสุดที่รัฐบาลไทยดำเนินการเพื่อให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในประเทศไทยมากขึ้น และเพิ่มความน่าเชื่อถือและความยั่งยืนของตลาดทุนไทย