ต่างชาติลุยหุ้นไทย สัปดาห์เดียวซื้อสุทธิกว่า 6,000 ล้านบาท "เรืองวิทย์" ชี้ฝรั่งไล่หุ้นปิดงบครึ่งปี ส่งผลกองทุนไทยที่มีเม็ดเงินไม่พอดันหุ้น ได้รับอานิสงส์ไปด้วย ด้านดัชนีวานนี้ (29 มิ.ย.) ลดลงเล็กน้อย 2.24 จุด งานนี้ทั้งรายย่อย-กองทุนขายหมูให้ฝรั่ง นักวิเคราะห์ประเมินวันนี้หุ้นมีทิศทางดีขึ้น แต่ยังต้องจับตาการประชุมเฟดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยเกินคาดหรือไม่ พร้อมเตือนระวังแรงขายทำกำไรของต่างชาติที่อาจเกิดขึ้นได้หลังไล่ซื้อมาหลายวัน
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย. 2547 เป็นต้นมานักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง ส่งผลตั้งแต่วันที่ 23-28 มิ.ย. 2547 นักลงทุนต่างชาติแสดงยอดซื้อสุทธิจำนวน 4,535.48 ล้านบาท
ล่าสุดวันที่ 29 มิ.ย. 2547 นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่องอีก 1,610.42 ล้านบาท ส่งผลให้ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มียอดซื้อของต่างชาติรวมจำนวน 6,145.90 ล้านบาท
นายเรืองวิทย์ นันทาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยาเจเอฟ เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาต่อเนื่องมาจนถึงสัปดาห์นี้ จะเห็นได้ว่านักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อสุทธิมาโดยตลอด ซึ่งสาเหตุหลักของการกลับเข้ามาซื้อในช่วงนี้คาดว่าน่าจะมาจากการปิดงบการเงินในงวดครึ่งปี 2547 ซึ่งส่วนใหญ่แล้วบรรดากองทุนต่างๆจะมีการวัดผลการดำเนินงานหลังจากลงทุนมาแล้วประมาณครึ่งปี ซึ่งกองทุนส่วนใหญ่ต้องการโชว์ผลงานการบริหาร ประกอบกับที่ผ่านมาราคาหุ้นของไทยปรับตัวลดลงไปมาก จึงมีการเข้ามาซื้อหุ้นทำให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับกองทุนในประเทศนั้น นายเรืองวิทย์กล่าวว่า ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้มีเม็ดเงินที่จะเข้ามาซื้อหุ้นได้มากเท่ากับนักลงทุนต่างประเทศ ดังนั้นการเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อปิดงบจะมีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย โดยในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไปคาดว่ากองทุนในประเทศจะลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงเหลือประมาณ 90% ซึ่งเมื่อดัชนีมีทิศทางที่เป็นขาขึ้นชัดเจนก็สามารถนำเงินส่วนที่เหลือมาลงทุนเพิ่มได้
"นักลงทุนต่างชาติจะมีเม็ดเงินที่ค่อนข้างมาก เมื่อถึงเวลาใกล้ปิดงบครึ่งปีก็มีการนำเงินเข้ามาลงทุนเพิ่มในหุ้นที่คิดว่ายังมีอนาคตดี ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าช่วงนี้จะเห็นยอดซื้อสุทธิของต่างชาติ ส่วนกองทุนไทยเม็ดเงินคงไม่มากเท่า และไม่มากพอที่จะนำมาซื้อเพื่อดันราคาหุ้นได้ แต่ในช่วงนี้ที่ต่างประเทศเข้ามาไล่หุ้นทำให้กองทุนของไทยได้รับอานิสงส์ไปด้วย"
ทั้งนี้หลังจากที่ทำการปิดบัญชีงวดครึ่งปีไปแล้ว กองทุนก็จะต้องมีการพิจารณาการปรับพอร์ตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด ซึ่งหากมีผลการดำเนินงานในอดีตที่ดี ก็จะส่งผลให้สามารถขายหน่วยลงทุนได้มากขึ้นในอนาคต
* หุ้นร่วงเจอแรงขายทำกำไร
ด้านความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพยวานนี้ (29 มิ.ย.) ดัชนีปิดตลาดที่ 649.62 จุด ลดลง 2.24 จุด มูลค่าการซื้อขาย 23,790.16 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 606.06 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,610.42 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,004.36 ล้านบาท
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเพ็กซ์ จำกัด เปิดเผยว่า วานนี้นักลงทุนเริ่มมีแรงขายทำกำไรออกมา หลังจากที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาติดต่อกันหลายวัน ซึ่งการเข้ามาซื้อของนักลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะเป็นการเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อปิดงบบัญชีงวดครึ่งปี
ส่วนแนวโน้มในวันนี้ คาดว่าดัชนีน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติยังคงแสดงยอดซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรระมัดระวังแรงขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติที่อาจเกิดขึ้นได้ หลังจากเก็บหุ้นมาหลายวัน
สำหรับปัจจัยที่จะส่งผลต่อการลงทุนในช่วงนี้ ยังคงเป็นปัจจัยการพิจารณาปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด หากมีการปรับขึ้น 0.25% ตามที่มีการคาดการณ์ไว้คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาด เพราะมีการรับรู้ไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่หากปรับเพิ่มขึ้น 0.50% ซึ่งเกินกว่าที่คาดไว้ก็จะส่งผลทางด้านลบต่อตลาดหุ้น
ทั้งนี้ดัชนีมีแนวรับที่ 640 จุด และแนวต้านที่ 650-655 จุด
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย. 2547 เป็นต้นมานักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง ส่งผลตั้งแต่วันที่ 23-28 มิ.ย. 2547 นักลงทุนต่างชาติแสดงยอดซื้อสุทธิจำนวน 4,535.48 ล้านบาท
ล่าสุดวันที่ 29 มิ.ย. 2547 นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่องอีก 1,610.42 ล้านบาท ส่งผลให้ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มียอดซื้อของต่างชาติรวมจำนวน 6,145.90 ล้านบาท
นายเรืองวิทย์ นันทาภิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยาเจเอฟ เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาต่อเนื่องมาจนถึงสัปดาห์นี้ จะเห็นได้ว่านักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อสุทธิมาโดยตลอด ซึ่งสาเหตุหลักของการกลับเข้ามาซื้อในช่วงนี้คาดว่าน่าจะมาจากการปิดงบการเงินในงวดครึ่งปี 2547 ซึ่งส่วนใหญ่แล้วบรรดากองทุนต่างๆจะมีการวัดผลการดำเนินงานหลังจากลงทุนมาแล้วประมาณครึ่งปี ซึ่งกองทุนส่วนใหญ่ต้องการโชว์ผลงานการบริหาร ประกอบกับที่ผ่านมาราคาหุ้นของไทยปรับตัวลดลงไปมาก จึงมีการเข้ามาซื้อหุ้นทำให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับกองทุนในประเทศนั้น นายเรืองวิทย์กล่าวว่า ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้มีเม็ดเงินที่จะเข้ามาซื้อหุ้นได้มากเท่ากับนักลงทุนต่างประเทศ ดังนั้นการเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อปิดงบจะมีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย โดยในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไปคาดว่ากองทุนในประเทศจะลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงเหลือประมาณ 90% ซึ่งเมื่อดัชนีมีทิศทางที่เป็นขาขึ้นชัดเจนก็สามารถนำเงินส่วนที่เหลือมาลงทุนเพิ่มได้
"นักลงทุนต่างชาติจะมีเม็ดเงินที่ค่อนข้างมาก เมื่อถึงเวลาใกล้ปิดงบครึ่งปีก็มีการนำเงินเข้ามาลงทุนเพิ่มในหุ้นที่คิดว่ายังมีอนาคตดี ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าช่วงนี้จะเห็นยอดซื้อสุทธิของต่างชาติ ส่วนกองทุนไทยเม็ดเงินคงไม่มากเท่า และไม่มากพอที่จะนำมาซื้อเพื่อดันราคาหุ้นได้ แต่ในช่วงนี้ที่ต่างประเทศเข้ามาไล่หุ้นทำให้กองทุนของไทยได้รับอานิสงส์ไปด้วย"
ทั้งนี้หลังจากที่ทำการปิดบัญชีงวดครึ่งปีไปแล้ว กองทุนก็จะต้องมีการพิจารณาการปรับพอร์ตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด ซึ่งหากมีผลการดำเนินงานในอดีตที่ดี ก็จะส่งผลให้สามารถขายหน่วยลงทุนได้มากขึ้นในอนาคต
* หุ้นร่วงเจอแรงขายทำกำไร
ด้านความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพยวานนี้ (29 มิ.ย.) ดัชนีปิดตลาดที่ 649.62 จุด ลดลง 2.24 จุด มูลค่าการซื้อขาย 23,790.16 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 606.06 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,610.42 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,004.36 ล้านบาท
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเพ็กซ์ จำกัด เปิดเผยว่า วานนี้นักลงทุนเริ่มมีแรงขายทำกำไรออกมา หลังจากที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาติดต่อกันหลายวัน ซึ่งการเข้ามาซื้อของนักลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะเป็นการเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อปิดงบบัญชีงวดครึ่งปี
ส่วนแนวโน้มในวันนี้ คาดว่าดัชนีน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติยังคงแสดงยอดซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรระมัดระวังแรงขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติที่อาจเกิดขึ้นได้ หลังจากเก็บหุ้นมาหลายวัน
สำหรับปัจจัยที่จะส่งผลต่อการลงทุนในช่วงนี้ ยังคงเป็นปัจจัยการพิจารณาปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด หากมีการปรับขึ้น 0.25% ตามที่มีการคาดการณ์ไว้คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาด เพราะมีการรับรู้ไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่หากปรับเพิ่มขึ้น 0.50% ซึ่งเกินกว่าที่คาดไว้ก็จะส่งผลทางด้านลบต่อตลาดหุ้น
ทั้งนี้ดัชนีมีแนวรับที่ 640 จุด และแนวต้านที่ 650-655 จุด