ผู้จัดการรายวัน - เชนร้านขายยา ฟาสซิโน ปรับแผนรุกรับมือสถานการณ์แข่งขันเดือดในอนาคต เร่งขยายช่องทางใหม่ๆ เผยจับจองพื้นที่ค้าปลีกรถไฟฟ้าใต้ดินแล้ว 5 แห่ง พร้อมบุกขึ้นห้าง ลุยควบทั้งลงทุนเองและขายแฟรนไชส์ เร่งเพิ่มสินค้าทุกกลุ่ม
เภสัชกร ไชยเสน พิศาลวาเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟาสซิโน จำกัด ซึ่งเป็นเชนร้านขายยาเอกชนรายใหญ่ของคนไทยชื่อ ฟาสซิโน กล่าวว่า บริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์ในการรุกธุรกิจใหม่เพื่อรองรับกับการแข่งขัน ทั้งในเรื่องของการหาทำเลใหม่ๆ การปรับเงื่อนไขแฟรนไชส์ รวมไปถึงการทำกิจกรรมการตลาดและกิจกรรมสัมพันธ์มากขึ้น ซึ่งบริษัทฯยังคงให้ความสำคัญเท่าๆกันระหว่างการเปิดสาขาเองกับการขายแฟรนไชส์ และมีเป้าหมายที่จะเปิดให้ครบทุกจังหวัดทั่วประเทศภายในปี 2550
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเปิดสาขาในรูปแบบใดเท่าใด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความพร้อมของบริษัทฯและผู้ที่สนใจซื้อแฟรนไชส์ด้วย ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าที่จะเปิดสาขาใหม่รวมกันประมาณ 15- 20 แห่ง ซึ่งตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้เปิดไปแล้วประมาณ 6 แห่งทั้งลงทุนเองและแฟรนไชส์ ส่วนสาขาปัจจุบันมีรวมประมาณ 50 แห่งแล้ว แบ่งเป็นกรุงเทพฯกับต่างจังหวัดใกล้เคียงกัน และเป็นของบริษัทฯประมาณ 11 แห่ง แฟรนไชส์ 39 แห่ง
โดยในเรื่องของทำเลใหม่ๆนั้น บริษัทฯมีความสนใจและหาช่องทางใหม่ตลอดเวลา เพื่อสร้างความหลากหลายในการเข้าถึงผู้บริโภค ซึ่งก่อนหน้านั้นจะเน้นการเปิดแบบสแตนด์อโลนเป็นหลักในช่วงแรก แต่ปัจจุบันจะเปิดกว้างมากขึ้น ล่าสุดได้เซ็นสัญญากับผู้รับผิดชอบบริหารพื้นที่ค้าปลีกของรถไฟฟ้าใต้ดินไปแล้ว โดยทางฟาสซิโน เช่าจำนวน 5 สถานี ประกอบด้วย สถานีเพชรบุรี กำแพงเพชร รัชดาภิเษก ลาดพร้าว ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ก็ได้มีการขยายสาขาเข้าไปในศูนย์การค้าบ้างแล้ว จากเดิมที่สาขาส่วนใหญ่เป็นสแตนด์อโลน เช่น ห้างโรบินสันสองสาขาที่สีลมและบางรัก เดอะมอลล์งามวงศ์วานซึ่งเดิมมีร้านขายยาเปิดถึง 3 แห่งแล้ว และร้านฟาสซิโนเป็นร้านที่ 4 ในเดอะมอลล์งามวงศ์วานนี้ โดยบริษัทจ่ายเป็นค่าเช่า ส่วนค้าปลีกอื่นอย่างดิสเคานต์สโตร์ก็มีการศึกษาแต่คงเป็นไปได้ยาก เพราะแต่ละแห่งก็ล้วนมีพันธมิตรคู่ค้ากันอยู่แล้ว
เขากล่าวด้วยว่า ช่องทางโรงพยาบาล มีโรงพยาบาลบางแห่งติดต่อให้บริษัทเข้าไปเปิดร้าน คาดว่าจะสามารถเห็นได้ในปีนี้ จะใช้วิธีการเช่าเช่นเดียวกับค้าปลีกเพราะต้นทุนคงที่
สำหรับแผนการขายแฟรนไชส์นั้นหลังจากที่ดำเนินการมาประมาณ 4 ปีแล้วมีการปรับเปลี่ยนใหม่บ้างเล็กน้อย คือ 1.ค่าแฟรนไชส์ฟี ที่เก็บเพียงครั้งเดียวจำนวน 350,000 บาท ระยะเวลาสัญญาตลอดไป ได้เปลี่ยนใหม่คือ ระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปีแล้วต่อใหม่ โดยยังคงอัตราค่าแฟรนไชส์ฟีเท่าเดิมไม่เพิ่มขึ้น ส่วนค่าการตลาด เก็บประมาณ 25,000 บาทต่อรายต่อปี ซึ่งเพิ่งเริ่มเก็บเมื่อปีที่ 4 ที่ผ่านมา
เขากล่าวต่อว่า ปริมาณสินค้าที่จำหน่ายในร้านฟาสซิโนนั้นจะแตกต่างกันไปตามแต่ละสาขาและกลุ่มเป้าหมาย เช่น ที่ศิริราชจะมียามากกว่า 75% ส่วนสาขาที่เดอะมอลล์จะมีสินค้าเวชสำอางกับอาหารเสริมมากกว่า 50% แต่โดยหลักแล้ว จะเป็นสินค้าประเภท ยา มีสัดส่วนการขายประมาณ 50-60% อาหารเสริมและเวชสำอาง สัดส่วน 30% และอุปกรณ์การแพทย์กับอุปกรณ์ผู้ป่วย 20% จากรายได้รวมของธุรกิจร้านค้าปลีกขายยาฟาสซิโนของบริษัทเองประมาณ 11 สาขา มีรายได้ประมาณ 100 กว่าล้านบาท คาดว่าปีนี้จะมีการเติบโตประมาณ 15%
ส่วนสินค้าที่จำหน่ายในร้านนั้น หากแบ่งเป็นประเภทที่มาแล้วแบ่งเป็น สินค้าที่ซื้อมาขายไปประมาณ 90% สินค้าของบริษัทฟาสซิโนเอง 7% และสินค้าของซัปพลายเออร์ 3% (มีประมาณ 10 กว่า) ซึ่งบริษัทฯมีแผนที่จะเพิ่มสินค้าทุกกลุ่มทั้งเฮาส์แบรนด์มากขึ้น คือ สินค้าของบริษัทฯเอง เนื่องจากมีโรงงานผลิตเองด้วย เป็นทั้งค้าส่งที่จำหน่ายให้กับร้านค้าอื่นด้วย ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 100 กว่าเอสเคยู ส่วนสินค้าที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟนั้นก็จะเพิ่มด้วย เช่นปัจจุบันเป็นเอ็กซ์คลูซีฟของยาน้ำเทียนเซียนใช้สำหรับผู้ฝ่วยโรคมะเร็ง เป็นต้น
เภสัชกร ไชยเสน พิศาลวาเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟาสซิโน จำกัด ซึ่งเป็นเชนร้านขายยาเอกชนรายใหญ่ของคนไทยชื่อ ฟาสซิโน กล่าวว่า บริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์ในการรุกธุรกิจใหม่เพื่อรองรับกับการแข่งขัน ทั้งในเรื่องของการหาทำเลใหม่ๆ การปรับเงื่อนไขแฟรนไชส์ รวมไปถึงการทำกิจกรรมการตลาดและกิจกรรมสัมพันธ์มากขึ้น ซึ่งบริษัทฯยังคงให้ความสำคัญเท่าๆกันระหว่างการเปิดสาขาเองกับการขายแฟรนไชส์ และมีเป้าหมายที่จะเปิดให้ครบทุกจังหวัดทั่วประเทศภายในปี 2550
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเปิดสาขาในรูปแบบใดเท่าใด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความพร้อมของบริษัทฯและผู้ที่สนใจซื้อแฟรนไชส์ด้วย ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าที่จะเปิดสาขาใหม่รวมกันประมาณ 15- 20 แห่ง ซึ่งตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้เปิดไปแล้วประมาณ 6 แห่งทั้งลงทุนเองและแฟรนไชส์ ส่วนสาขาปัจจุบันมีรวมประมาณ 50 แห่งแล้ว แบ่งเป็นกรุงเทพฯกับต่างจังหวัดใกล้เคียงกัน และเป็นของบริษัทฯประมาณ 11 แห่ง แฟรนไชส์ 39 แห่ง
โดยในเรื่องของทำเลใหม่ๆนั้น บริษัทฯมีความสนใจและหาช่องทางใหม่ตลอดเวลา เพื่อสร้างความหลากหลายในการเข้าถึงผู้บริโภค ซึ่งก่อนหน้านั้นจะเน้นการเปิดแบบสแตนด์อโลนเป็นหลักในช่วงแรก แต่ปัจจุบันจะเปิดกว้างมากขึ้น ล่าสุดได้เซ็นสัญญากับผู้รับผิดชอบบริหารพื้นที่ค้าปลีกของรถไฟฟ้าใต้ดินไปแล้ว โดยทางฟาสซิโน เช่าจำนวน 5 สถานี ประกอบด้วย สถานีเพชรบุรี กำแพงเพชร รัชดาภิเษก ลาดพร้าว ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ก็ได้มีการขยายสาขาเข้าไปในศูนย์การค้าบ้างแล้ว จากเดิมที่สาขาส่วนใหญ่เป็นสแตนด์อโลน เช่น ห้างโรบินสันสองสาขาที่สีลมและบางรัก เดอะมอลล์งามวงศ์วานซึ่งเดิมมีร้านขายยาเปิดถึง 3 แห่งแล้ว และร้านฟาสซิโนเป็นร้านที่ 4 ในเดอะมอลล์งามวงศ์วานนี้ โดยบริษัทจ่ายเป็นค่าเช่า ส่วนค้าปลีกอื่นอย่างดิสเคานต์สโตร์ก็มีการศึกษาแต่คงเป็นไปได้ยาก เพราะแต่ละแห่งก็ล้วนมีพันธมิตรคู่ค้ากันอยู่แล้ว
เขากล่าวด้วยว่า ช่องทางโรงพยาบาล มีโรงพยาบาลบางแห่งติดต่อให้บริษัทเข้าไปเปิดร้าน คาดว่าจะสามารถเห็นได้ในปีนี้ จะใช้วิธีการเช่าเช่นเดียวกับค้าปลีกเพราะต้นทุนคงที่
สำหรับแผนการขายแฟรนไชส์นั้นหลังจากที่ดำเนินการมาประมาณ 4 ปีแล้วมีการปรับเปลี่ยนใหม่บ้างเล็กน้อย คือ 1.ค่าแฟรนไชส์ฟี ที่เก็บเพียงครั้งเดียวจำนวน 350,000 บาท ระยะเวลาสัญญาตลอดไป ได้เปลี่ยนใหม่คือ ระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปีแล้วต่อใหม่ โดยยังคงอัตราค่าแฟรนไชส์ฟีเท่าเดิมไม่เพิ่มขึ้น ส่วนค่าการตลาด เก็บประมาณ 25,000 บาทต่อรายต่อปี ซึ่งเพิ่งเริ่มเก็บเมื่อปีที่ 4 ที่ผ่านมา
เขากล่าวต่อว่า ปริมาณสินค้าที่จำหน่ายในร้านฟาสซิโนนั้นจะแตกต่างกันไปตามแต่ละสาขาและกลุ่มเป้าหมาย เช่น ที่ศิริราชจะมียามากกว่า 75% ส่วนสาขาที่เดอะมอลล์จะมีสินค้าเวชสำอางกับอาหารเสริมมากกว่า 50% แต่โดยหลักแล้ว จะเป็นสินค้าประเภท ยา มีสัดส่วนการขายประมาณ 50-60% อาหารเสริมและเวชสำอาง สัดส่วน 30% และอุปกรณ์การแพทย์กับอุปกรณ์ผู้ป่วย 20% จากรายได้รวมของธุรกิจร้านค้าปลีกขายยาฟาสซิโนของบริษัทเองประมาณ 11 สาขา มีรายได้ประมาณ 100 กว่าล้านบาท คาดว่าปีนี้จะมีการเติบโตประมาณ 15%
ส่วนสินค้าที่จำหน่ายในร้านนั้น หากแบ่งเป็นประเภทที่มาแล้วแบ่งเป็น สินค้าที่ซื้อมาขายไปประมาณ 90% สินค้าของบริษัทฟาสซิโนเอง 7% และสินค้าของซัปพลายเออร์ 3% (มีประมาณ 10 กว่า) ซึ่งบริษัทฯมีแผนที่จะเพิ่มสินค้าทุกกลุ่มทั้งเฮาส์แบรนด์มากขึ้น คือ สินค้าของบริษัทฯเอง เนื่องจากมีโรงงานผลิตเองด้วย เป็นทั้งค้าส่งที่จำหน่ายให้กับร้านค้าอื่นด้วย ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 100 กว่าเอสเคยู ส่วนสินค้าที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟนั้นก็จะเพิ่มด้วย เช่นปัจจุบันเป็นเอ็กซ์คลูซีฟของยาน้ำเทียนเซียนใช้สำหรับผู้ฝ่วยโรคมะเร็ง เป็นต้น