ผู้จัดการรายวัน - "คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค" เลี่ยงเดินสงครามราคากระดาษชำระ-สินค้าเฮาส์แบรนด์โจมตีหนัก วางหมากลุยตลาดกระดาษเช็ดหน้า หลังพบตลาดส่อแววขยายตัวสูง รุดจัดแคมเปญ "โชคสวย 2 ชั้นใกล้แค่เอื้อมจากกระดาษเช็ดหน้าคลีเน็กซ์" ครั้งแรก หวังขยายฐานลูกค้าชนิดกล่อง สิ้นปีตั้งเป้าโตมากกว่า5%
นายกฤช เมธาธราธิป รองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท คิมเบอร์ลี่ย์ - คล๊าค ประเทศไทย ผู้ผลิตและจำหน่ายกระดาษชำระสก๊อตต์และกระดาษเช็ดหน้าคลีเน็กซ์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดกระดาษทิชชูซึ่งมีมูลค่าประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท ในปีนี้จะมีอัตราการเติบโต 3-5% โดยพบว่าตลาดกระดาษชำระซึ่งมีมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาทเริ่มเกิดภาวะอิ่มตัวเพราะปัจจุบันมีอัตราการบริโภคเกือบ 100 % ทำให้ตลาดกระดาษชำระมีอัตราการเติบโต3-4% ต่อปีเท่านั้น เมื่อเทียบกับตลาดกระดาษเช็ดหน้าซึ่งมีมูลค่า 470 ล้านบาท เป็นตลาดที่มีการขยายตัวสูงมากกว่า เพราะอัตราการบริโภคยังไม่เต็ม100% โดยคาดว่าในปีนี้ตลาดจะมีอัตราการเติบโต 6-7 %
จากแนวโน้มตลาดกระดาษเช็ดหน้าที่มีโอกาสขยายตัวสูงมากกว่า ทำให้แผนการทำตลาดปีนี้บริษัทหันมาให้ความสำคัญกับตลาดเช็ดหน้าภายใต้แบรนด์คลีเน็กซ์มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันแบ่งเป็น 3 บรรจุภัณฑ์ ได้แก่ บรรจุภัณฑ์แพก บรรจุภัณฑ์กล่อง และบรรจุภัณฑ์ถ้วย โดยล่าสุดบริษัทได้จัดแคมเปญ "โชคสวย 2 ชั้นใกล้แค่เอื้อมจากกระดาษเช็ดหน้าคลีเน็กซ์" ชิงรางวัลกว่า 26,000 รางวัล มูลค่าทั้งสิ้นกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่บริษัทได้จัดแคมเปญให้กับแบรนด์กระดาษเช็ดหน้าคลีเน็กซ์ และจัดแคมเปญเฉพาะบรรจุภัณฑ์กล่อง ทุกรุ่น ทุกขนาด เท่านั้น เนื่องจากบรรจุภัณฑ์กล่องเป็นตลาดขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบอื่น
"ตลาดกระดาษทิชชูมีการแข่งขันรุนแรงโดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์ราคา รวมถึงคู่แข่งสินค้าเฮาส์แบรนด์ที่ชูกลยุทธ์ราคาที่ถูกกว่า ทำให้ความภักดีต่อแบรนด์มีน้อย และมีโอกาสที่ผู้บริโภคจะสวิตช์ชิ่งแบรนด์มีสูง เพราะการแข่งขันสงครามราคาทำให้ผู้บริโภคไม่รู้สึกว่าสินค้ามีความแตกต่างมากนัก โดยเฉพาะตลาดกระดาษชำระมีการแข่งขันสูงที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้จัดแคมเปญชิงโชคต่อเนื่องกันเป็นปืที่ 3 แล้วสำหรับแบรนด์สก๊อตต์ ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามราคา แต่หันมาให้ความสำคัญการสร้างความภักดีต่อแบรนด์มากกว่า"
สำหรับแผนการทำตลาดกระดาษเช็ดหน้าคลีเน็กซ์ บริษัทจะปรับเปลี่ยนลายบนบรรจุภัณฑ์ประมาณ 5-6 ลายต่อปี เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อกระดาษเช็ดหน้าในเรื่องความสวยงามของบรรจุภัณฑ์เป็นหลัก โดยหากรูปแบบใดที่เริ่มทำยอดขายได้น้อยลงบริษัทก็จะนำลายใหม่เข้ามาแทน พร้อมกันนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างตลาดใหม่และขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ๆให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดตัวคลีเน็กซ์ คัพ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ใช้รถยนต์ รวมถึงการเปิดตัวกระดาษเช็ดหน้าคลีเน็กซ์ ยูคาลิปตัส เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่รักสุขภาพ
นายกฤช กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทยังได้ปรับช่องทางการจำหน่าย โดยหันมาให้ความสำคัญช่องทางร้านค้าสะดวกซื้อมากขึ้น โดยล่าสุดได้ผูกขาดการจำหน่ายกระดาษชำระและกระดาษเช็ดหน้าสก๊อตต์ และคลีเน็กซ์ ผ่านเซเว่น-อีเลฟเว่นเพียงรายเดียวโดยมีสัญญา 2 ปี ซึ่งได้เริ่มจำหน่ายเพียงรายเดียวตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้สัดส่วนผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดเพิ่มจากกว่า 70 % เป็น 80 % และร้านค้าปลีกรายย่อยจากต่ำกว่า30% เหลือ 20% ทั้งนี้เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดมากขึ้น
ปัจจุบันคิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค มีส่วนแบ่งตลาดกระดาษเช็ดหน้าชิดกล่อง 54 % เป็น คลีเน็กซ์ 39 % เลดี้ส์สก๊อตต์11-12% และสก๊อตต์ 4% จากมูลค่าตลาดรวม 470 ล้านบาท ส่วนตลาดกระดาษชำระสก๊อตต์มีส่วนแบ่ง 33-34% จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 2,000 ล้านบาท สำหรับผลประกอบการปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเติบโตมากกว่า3-5%จากรายได้รวมในปีที่ผ่านมาประมาณ 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้ เป็นกลุ่มกระดาษทิชชู กลุ่มผ้าอ้อม และผ้าอนามัยราว 1,000 ล้านบาท
นายกฤช เมธาธราธิป รองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท คิมเบอร์ลี่ย์ - คล๊าค ประเทศไทย ผู้ผลิตและจำหน่ายกระดาษชำระสก๊อตต์และกระดาษเช็ดหน้าคลีเน็กซ์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดกระดาษทิชชูซึ่งมีมูลค่าประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท ในปีนี้จะมีอัตราการเติบโต 3-5% โดยพบว่าตลาดกระดาษชำระซึ่งมีมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาทเริ่มเกิดภาวะอิ่มตัวเพราะปัจจุบันมีอัตราการบริโภคเกือบ 100 % ทำให้ตลาดกระดาษชำระมีอัตราการเติบโต3-4% ต่อปีเท่านั้น เมื่อเทียบกับตลาดกระดาษเช็ดหน้าซึ่งมีมูลค่า 470 ล้านบาท เป็นตลาดที่มีการขยายตัวสูงมากกว่า เพราะอัตราการบริโภคยังไม่เต็ม100% โดยคาดว่าในปีนี้ตลาดจะมีอัตราการเติบโต 6-7 %
จากแนวโน้มตลาดกระดาษเช็ดหน้าที่มีโอกาสขยายตัวสูงมากกว่า ทำให้แผนการทำตลาดปีนี้บริษัทหันมาให้ความสำคัญกับตลาดเช็ดหน้าภายใต้แบรนด์คลีเน็กซ์มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันแบ่งเป็น 3 บรรจุภัณฑ์ ได้แก่ บรรจุภัณฑ์แพก บรรจุภัณฑ์กล่อง และบรรจุภัณฑ์ถ้วย โดยล่าสุดบริษัทได้จัดแคมเปญ "โชคสวย 2 ชั้นใกล้แค่เอื้อมจากกระดาษเช็ดหน้าคลีเน็กซ์" ชิงรางวัลกว่า 26,000 รางวัล มูลค่าทั้งสิ้นกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่บริษัทได้จัดแคมเปญให้กับแบรนด์กระดาษเช็ดหน้าคลีเน็กซ์ และจัดแคมเปญเฉพาะบรรจุภัณฑ์กล่อง ทุกรุ่น ทุกขนาด เท่านั้น เนื่องจากบรรจุภัณฑ์กล่องเป็นตลาดขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบอื่น
"ตลาดกระดาษทิชชูมีการแข่งขันรุนแรงโดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์ราคา รวมถึงคู่แข่งสินค้าเฮาส์แบรนด์ที่ชูกลยุทธ์ราคาที่ถูกกว่า ทำให้ความภักดีต่อแบรนด์มีน้อย และมีโอกาสที่ผู้บริโภคจะสวิตช์ชิ่งแบรนด์มีสูง เพราะการแข่งขันสงครามราคาทำให้ผู้บริโภคไม่รู้สึกว่าสินค้ามีความแตกต่างมากนัก โดยเฉพาะตลาดกระดาษชำระมีการแข่งขันสูงที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้จัดแคมเปญชิงโชคต่อเนื่องกันเป็นปืที่ 3 แล้วสำหรับแบรนด์สก๊อตต์ ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามราคา แต่หันมาให้ความสำคัญการสร้างความภักดีต่อแบรนด์มากกว่า"
สำหรับแผนการทำตลาดกระดาษเช็ดหน้าคลีเน็กซ์ บริษัทจะปรับเปลี่ยนลายบนบรรจุภัณฑ์ประมาณ 5-6 ลายต่อปี เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อกระดาษเช็ดหน้าในเรื่องความสวยงามของบรรจุภัณฑ์เป็นหลัก โดยหากรูปแบบใดที่เริ่มทำยอดขายได้น้อยลงบริษัทก็จะนำลายใหม่เข้ามาแทน พร้อมกันนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างตลาดใหม่และขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ๆให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดตัวคลีเน็กซ์ คัพ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ใช้รถยนต์ รวมถึงการเปิดตัวกระดาษเช็ดหน้าคลีเน็กซ์ ยูคาลิปตัส เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่รักสุขภาพ
นายกฤช กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทยังได้ปรับช่องทางการจำหน่าย โดยหันมาให้ความสำคัญช่องทางร้านค้าสะดวกซื้อมากขึ้น โดยล่าสุดได้ผูกขาดการจำหน่ายกระดาษชำระและกระดาษเช็ดหน้าสก๊อตต์ และคลีเน็กซ์ ผ่านเซเว่น-อีเลฟเว่นเพียงรายเดียวโดยมีสัญญา 2 ปี ซึ่งได้เริ่มจำหน่ายเพียงรายเดียวตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้สัดส่วนผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดเพิ่มจากกว่า 70 % เป็น 80 % และร้านค้าปลีกรายย่อยจากต่ำกว่า30% เหลือ 20% ทั้งนี้เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดมากขึ้น
ปัจจุบันคิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค มีส่วนแบ่งตลาดกระดาษเช็ดหน้าชิดกล่อง 54 % เป็น คลีเน็กซ์ 39 % เลดี้ส์สก๊อตต์11-12% และสก๊อตต์ 4% จากมูลค่าตลาดรวม 470 ล้านบาท ส่วนตลาดกระดาษชำระสก๊อตต์มีส่วนแบ่ง 33-34% จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 2,000 ล้านบาท สำหรับผลประกอบการปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเติบโตมากกว่า3-5%จากรายได้รวมในปีที่ผ่านมาประมาณ 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้ เป็นกลุ่มกระดาษทิชชู กลุ่มผ้าอ้อม และผ้าอนามัยราว 1,000 ล้านบาท