ผู้จัดการรายวัน -"โอสถสภา" ชูหน่วยรบไบท์ แบงค็อก เร่งเครื่องกวาดรายได้สิ้นปี 1,000 ล้านบาท เตรียมประเมินผลแยกตัวจากแผนกตั้งเป็นบริษัท เพื่อคลอดผลิตภัณฑ์สำหรับคนเมือง ล่าสุดโชว์ผลงานเปิดตัวเอ็มแม็กซ์ ชูกำลังผสมคาร์บอเนต ขยายฐานจับกลุ่มคนเมืองรุ่นใหม่ สิ้นปีขอแชร์ 5% กวาดรายได้ 700 ล้านบาท ครึ่งปีหลังเข็นสินค้าใหม่แจ้งเกิด
นายธัชรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลัง M-150 ,ลิโพ วิตันดี , แฮงค์ และเอ็มแม็กซ์ เปิดเผยว่า บริษัทได้จัดตั้งหน่วยงาน ไบท์ แบงค็อก ภายใต้บริษัท โอสถสภา จำกัด ขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เพื่อแยกการทำงานและสร้างความคล่องตัวในการพัฒนาสินค้าและทำตลาดรูปแบบใหม่ มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่มีพฤติกรรมการบริโภคและใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีความต้องการใหม่ๆ ขณะนี้มีสินค้าใหม่ 2 ตัว ได้แก่ แฮงค์ เครื่องดื่มช่วยอาการเมาค้าง เปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2546 และล่าสุดเปิดตัว เอ็มแม็กซ์ เครื่องดื่มชูกำลังผสมคาร์บอเนต
สำหรับเป้าหมายของการทำงานของ ไบท์ แบงค็อก ขณะนี้อยู่ระหว่างประเมินผลการดำเนินงาน หลังจากออกผลิตภัณฑ์ใหม่มาทำตลาด 2 ตัว หากเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ในสิ้นปีมีรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็น เอ็มแม็กซ์ 700 ล้านบาท และแฮงค์ 300 ล้านบาท หากบรรลุเป้าหมายบริษัทมีแนวโน้มที่จะนำหน่วยงานไบท์ แบงค็อก แยกออกมาตั้งเป็นอีกบริษัทหนึ่ง เพราะที่ผ่านมาการทำงานของหน่วยงานไบท์ แบงค็อก ดำเนินอย่างครบวงจรแล้ว ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การกำหนดตำแหน่งของสินค้า รวมถึงแผนการทำตลาดอย่างครบวงจร และมีเป้าหมายการดำเนินงานว่า ในแต่ละปีไบท์ แบงค็อกจะออกสินค้าใหม่สู่ตลาด 1 ตัว ซึ่งคาดว่าในครึ่งปีหลังนี้จะมีสินค้าใหม่อีก 1 ตัว
"หลังจากออกเครื่องดื่มแฮงค์เมื่อปีก่อน ในช่วงเวลา 6 เดือนสินค้าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ คือประมาณ 3 แสนขวดต่อเดือน แต่ยอดขายพุ่งถึงเกือบ 1 ล้านขวดต่อเดือน บริษัทวางแผนจัดกิจกรรมการตลาดในเดือนมิถุนายนนี้เพื่อกระตุ้นยอดขายอีกระลอก"
นายธัชรินทร์ กล่าวต่อถึงแผนการทำตลาดเอ็มแมกซ์ว่า เน้นกลุ่มเป้าหมายอายุ 20-29 ปีเป็นกลุ่มเริ่มทำงาน รวมถึงกลุ่มผู้ดื่มกาแฟ และซอฟต์ดริ้ง โดยชูจุดขายเป็นเครื่องดื่มชูกำลังผสมคาร์บอเนต แตกต่างจากคู่แข่งที่มีอยู่ในตลาดอย่าง เรด บูล เอ็กซ์ ตร้า ในช่วง3-4 เดือนนี้บริษัทจะใช้งบการทำตลาด 80 ล้านบาท โฆษณาผ่านสื่อหลัก 70 % เพื่อสร้างการรับรู้ตราสินค้าต่อกลุ่มเป้าหมาย และบีโลว์เดอะไลน์ 30 % นอกจากนี้ยังได้เตรียมจัดกิจกรรมมิวสิคมาร์เกตติ้ง ภายใต้แนวคิดชีวิตไม่เคยหยุด โดยนำ 4 ศิลปินจัดคอนเสิร์ต Linkin Park in Bangkok ในวันที่ 20 มิถุนายน นี้ รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ท้าทาย และกิจกรรมอื่นๆ เช่น การแข่งขันกีฬา การออกกำลังกาย เป็นต้น
"บริษัทมีความถนัดในการทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมามุ่งทำตลาดเฉพาะระดับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน การออกเอ็มแม็กซ์จึงถือว่าเป็นครั้งแรกที่บริษัทหันมาให้ความสำคัญกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มซึ่งเป็นคนเมือง ทั้งนี้ก็เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่และสร้างตลาดใหม่ให้แก่ตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง"
นายธัชรินทร์ กล่าวอีกว่าบริษัทได้เริ่มวางตลาดเอ็มแม็กซ์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากเอ็มแม็กซ์มีจุดขายที่แตกต่างจากคู่แข่ง นอกจากนี้การพัฒนาสินค้าไม่ว่าจะเป็น แพกเกจจิ้ง ภาพลักษณ์รสชาติ ยังออกมาเพื่อตอบรับกับพฤติกรรมของคนเมือง เพราะจากการสำรวจพบว่ากลุ่มคนเมืองและคนรุ่นใหม่ต้องการดื่มเครื่องชูกำลัง แต่ติดภาพลักษณ์ที่เป็นเครื่องดื่มสำหรับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
อย่างไรก็ตามในปีแรกนี้คาดว่าเอ็มแม็กซ์จะมีส่วนแบ่งการตลาด 5% ส่งผลให้ในสิ้นปีนี้โอสถสภาครองส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง 60% แบ่งเป็น M-150 ประมาณ 50 % ลิโพ 5 % และวางเป้าหมายว่า ปี 2548 เอ็มแม็กซ์จะมีอัตราเติบโต 5-10 % เมื่อเทียบกับปี 2547
แนวโน้มตลาดเครื่องดื่มชูกำลังปีนี้มีอัตราการเติบโต3% จากมูลค่าตลาดรวม 14,000 ล้านบาท โดยตลาดเครื่องดื่มชูกำลังผสมคาร์บอเนตกำลังมาแรงมากในตลาดต่างประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ยุโรป อังกฤษ ทำให้ขณะนี้บริษัทกำลังวางแผนจะเปิดตลาดต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเป็น ยุโรป ออสเตรีย เยอรมัน และอังกฤษ ฯลฯ
นายธัชรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลัง M-150 ,ลิโพ วิตันดี , แฮงค์ และเอ็มแม็กซ์ เปิดเผยว่า บริษัทได้จัดตั้งหน่วยงาน ไบท์ แบงค็อก ภายใต้บริษัท โอสถสภา จำกัด ขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เพื่อแยกการทำงานและสร้างความคล่องตัวในการพัฒนาสินค้าและทำตลาดรูปแบบใหม่ มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่มีพฤติกรรมการบริโภคและใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีความต้องการใหม่ๆ ขณะนี้มีสินค้าใหม่ 2 ตัว ได้แก่ แฮงค์ เครื่องดื่มช่วยอาการเมาค้าง เปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2546 และล่าสุดเปิดตัว เอ็มแม็กซ์ เครื่องดื่มชูกำลังผสมคาร์บอเนต
สำหรับเป้าหมายของการทำงานของ ไบท์ แบงค็อก ขณะนี้อยู่ระหว่างประเมินผลการดำเนินงาน หลังจากออกผลิตภัณฑ์ใหม่มาทำตลาด 2 ตัว หากเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ในสิ้นปีมีรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็น เอ็มแม็กซ์ 700 ล้านบาท และแฮงค์ 300 ล้านบาท หากบรรลุเป้าหมายบริษัทมีแนวโน้มที่จะนำหน่วยงานไบท์ แบงค็อก แยกออกมาตั้งเป็นอีกบริษัทหนึ่ง เพราะที่ผ่านมาการทำงานของหน่วยงานไบท์ แบงค็อก ดำเนินอย่างครบวงจรแล้ว ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การกำหนดตำแหน่งของสินค้า รวมถึงแผนการทำตลาดอย่างครบวงจร และมีเป้าหมายการดำเนินงานว่า ในแต่ละปีไบท์ แบงค็อกจะออกสินค้าใหม่สู่ตลาด 1 ตัว ซึ่งคาดว่าในครึ่งปีหลังนี้จะมีสินค้าใหม่อีก 1 ตัว
"หลังจากออกเครื่องดื่มแฮงค์เมื่อปีก่อน ในช่วงเวลา 6 เดือนสินค้าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ คือประมาณ 3 แสนขวดต่อเดือน แต่ยอดขายพุ่งถึงเกือบ 1 ล้านขวดต่อเดือน บริษัทวางแผนจัดกิจกรรมการตลาดในเดือนมิถุนายนนี้เพื่อกระตุ้นยอดขายอีกระลอก"
นายธัชรินทร์ กล่าวต่อถึงแผนการทำตลาดเอ็มแมกซ์ว่า เน้นกลุ่มเป้าหมายอายุ 20-29 ปีเป็นกลุ่มเริ่มทำงาน รวมถึงกลุ่มผู้ดื่มกาแฟ และซอฟต์ดริ้ง โดยชูจุดขายเป็นเครื่องดื่มชูกำลังผสมคาร์บอเนต แตกต่างจากคู่แข่งที่มีอยู่ในตลาดอย่าง เรด บูล เอ็กซ์ ตร้า ในช่วง3-4 เดือนนี้บริษัทจะใช้งบการทำตลาด 80 ล้านบาท โฆษณาผ่านสื่อหลัก 70 % เพื่อสร้างการรับรู้ตราสินค้าต่อกลุ่มเป้าหมาย และบีโลว์เดอะไลน์ 30 % นอกจากนี้ยังได้เตรียมจัดกิจกรรมมิวสิคมาร์เกตติ้ง ภายใต้แนวคิดชีวิตไม่เคยหยุด โดยนำ 4 ศิลปินจัดคอนเสิร์ต Linkin Park in Bangkok ในวันที่ 20 มิถุนายน นี้ รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ท้าทาย และกิจกรรมอื่นๆ เช่น การแข่งขันกีฬา การออกกำลังกาย เป็นต้น
"บริษัทมีความถนัดในการทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมามุ่งทำตลาดเฉพาะระดับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน การออกเอ็มแม็กซ์จึงถือว่าเป็นครั้งแรกที่บริษัทหันมาให้ความสำคัญกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มซึ่งเป็นคนเมือง ทั้งนี้ก็เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่และสร้างตลาดใหม่ให้แก่ตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง"
นายธัชรินทร์ กล่าวอีกว่าบริษัทได้เริ่มวางตลาดเอ็มแม็กซ์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากเอ็มแม็กซ์มีจุดขายที่แตกต่างจากคู่แข่ง นอกจากนี้การพัฒนาสินค้าไม่ว่าจะเป็น แพกเกจจิ้ง ภาพลักษณ์รสชาติ ยังออกมาเพื่อตอบรับกับพฤติกรรมของคนเมือง เพราะจากการสำรวจพบว่ากลุ่มคนเมืองและคนรุ่นใหม่ต้องการดื่มเครื่องชูกำลัง แต่ติดภาพลักษณ์ที่เป็นเครื่องดื่มสำหรับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
อย่างไรก็ตามในปีแรกนี้คาดว่าเอ็มแม็กซ์จะมีส่วนแบ่งการตลาด 5% ส่งผลให้ในสิ้นปีนี้โอสถสภาครองส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง 60% แบ่งเป็น M-150 ประมาณ 50 % ลิโพ 5 % และวางเป้าหมายว่า ปี 2548 เอ็มแม็กซ์จะมีอัตราเติบโต 5-10 % เมื่อเทียบกับปี 2547
แนวโน้มตลาดเครื่องดื่มชูกำลังปีนี้มีอัตราการเติบโต3% จากมูลค่าตลาดรวม 14,000 ล้านบาท โดยตลาดเครื่องดื่มชูกำลังผสมคาร์บอเนตกำลังมาแรงมากในตลาดต่างประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ยุโรป อังกฤษ ทำให้ขณะนี้บริษัทกำลังวางแผนจะเปิดตลาดต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเป็น ยุโรป ออสเตรีย เยอรมัน และอังกฤษ ฯลฯ