หลังจากปรินซ์แอนดรูว์ทรงโนสนโนแคร์กับบรรดาข่าวเล่าลืออื้อฉาวที่เปิดโปงความลับความหลังของพระองค์อย่างละเอียดยิบ ตลอดจนเก็บพระองค์เงียบกริบในท่ามกลางกระแสกดดันอันท่วมท้นและต่อเนื่องจากสาธารณชน ซึ่งมุ่งให้พระองค์ต้องหลุดจากทุกตำแหน่ง
ปุบปับ!! ปรินซ์ทรงออกหนังสือแถลงการณ์ส่วนพระองค์ผ่านสำนักพระราชวังบัคกิงแฮมว่า ทรงตัดสินพระทัยถอยออกจากเครื่องหมายแห่งพระเกียรติยศทุกรายการที่ยังเหลือยู่ โดยจะยอมยุติการใช้บรรดาคำนำและต่อท้ายพระนามทั้งหมดทั้งปวง นับตั้งแต่วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม 2025 ส่วนสำหรับคำนำหน้าพระนามอันสูงส่งอย่างยิ่งว่า His Royal Highness นั้น ทรงยอมเลิกใช้ไปเมื่อต้นปี 2022
เดอะการ์เดียน สื่อยักษ์อังกฤษค่ายใหญ่ไม่เอาเจ้า นำเสนอรายงานพร้อมให่คำเฉลยแก่คำถามสำคัญว่าปัจจัยอันใดกันแน่ที่ทำให้ปรินซ์แอนดรูว์ทรงปุบปับเคลื่อนไหวเยี่ยงนี้
“แทบจะไม่ต้องสงสัยกันเลยว่า สำนักพระราชวังบัคกิงแฮมผลักดันให้เกิดการตัดสินพระทัย เพราะสถาบันกษัตริย์อังกฤษตกอยู่ในแวดล้อมแห่งกระแสอันฉาวโฉ่ที่ผุดออกมาเปิดโปงปรินซ์แอนดรูว์มากขึ้นเรื่อยๆ” เดอะการ์เดียนชี้เบาะแสไว้อย่างนั้น ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า สมควรที่จะลอยแพปรินซ์แอนดรูว์ เพื่อมิให้สถาบันกษัตริย์ต้องบอบช้ำไปกับการกระทำย่ำแย่อันมากมายในอดีตของดยุกแห่งหายนะ เพราะดยุกแห่งยอร์กต้องรับมือกับปัญหาด้วยพระองค์เอง
ในเวลาเดียวกัน ปัจจัยด้านพระอิสริยยศเจ้าหญิงของสองพระธิดาแห่งปรินซ์แอนดรูว์ ก็มีส่วนอย่างยิ่งต่อการตัดสินพระทัยครั้งสำคัญนี้ เพราะวี่แววแนวโน้มปัญหาที่ปรินซ์ทรงพัวพันอยู่กับเจฟฟรีย์ เอปสทีน อาชญากรค้ามนุษย์บำเรอกาม ส่อว่าจะสุกงอมไปเป็นคดีอาญารายการใหม่ในฝั่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งสามารถส่งผลให้รัฐสภาอังกฤษที่ท่วมท้นด้วยส.ส.พรรคแรงงาน ลงมือดำเนินการออกพระราชบัญญัติถอดถอนพระฐานันดรศักดิ์ดยุกแห่งยอร์กที่ปรินซ์ทรงครองอยู่
เคลียร์กันให้ชัด หนังสือแถลงการณ์ส่วนพระองค์มีรูปธรรมอะไรบ้าง
หลังจากปรินซ์แอนดรูว์ทรงถูกบีบให้ยอมยุติบทบาทในพระราชกรณียกิจต่างๆ ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในปี 2019 อีกทั้งต่อมา ก็ต้องยอมยุติการใช้คำนำหน้าพระนามว่า His Royal Highness ตลอดจนยศทางการทหารไปในปี 2022 แล้วนั้น ในปัจจุบันนี้ปรินซ์แอนดรูว์ทรงถอยลงไปจนสุดซอย โดยทรงเหลือเพียงคำว่า “ปรินซ์” ตามพระชาติกำเนิดเท่านั้น (ขณะที่อดีตพระชายาซาราห์ เฟอร์กูสัน ไม่เหลือหัวโขนดัชเชส และกลับเป็นคุณซาราห์ เฟอร์กูสัน คนเดิมที่เคยเป็น ก่อนจะมาเป็นพระชายา)
นับแต่นี้ไป แม้จะยังทรงเป็นพระราชอนุชาของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร โดยพระชาติกำเนิด แต่ปรินซ์แอนดรูว์จะไม่ลงท้ายด้านหลังพระนาม ด้วยคำว่า “ดยุกแห่งยอร์ก” หรือกระทั่งการเติมท้ายด้วยอักษรย่อว่า KG ซึ่งหมายถึงการได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งการ์เทอร์ หรือก็คือ Knight of the Garter อัศวินแห่งการ์เทอร์
พร้อมนี้ พระฐานันดรศักดิ์ “เอิร์ลแห่งอินเวอร์เนส แอนด์ บารอนคิลลิลี” The Earl of Inverness and Baron Killyleagh ที่ปรินซ์แอนดรูว์ทรงครองอยู่นานปี และทรงใช้เป็นบางครั้งบางคราในการดำเนินธุรกิจส่วนพระองค์ ว่า “แอนดรูว์อินเวอร์เนส” นั้น ก็จะไม่ปรากฏกันแล้ว
โดยในหนังสือแถลงการณ์ส่วนพระองค์เรื่องที่จะทรงยุติการใช้พระอิสริยยศที่ยังเหลืออยู่ทุกรายการ ซึ่งนำออกเผยแพร่โดยสำนักพระราชวังบัคกิงแฮมเมื่อคืนวันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม 2025 ณ เวลาใกล้ตีหนึ่งของวันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม นั้น ปรินซ์แอนดรูว์ทรงยืนยันปฏิเสธข้อกล่าวหาที่เวอร์จิเนีย จุฟเฟร ระบุว่าเธอถูกปรินซ์แอนดรูว์ล่วงละเมิดทางเพศขณะเธอยังเป็นผู้เยาว์ในวัยเพียง 17 ปี ทั้งนี้ ข้อกล่าวหาไม่เคยได้รับการพิสูจน์ในชั้นศาล เพราะปรินซ์ทรงใช้วิธีตกลงยอมความในชั้นไกล่เกลี่ย ซึ่งมีรายงานข่าวกันว่าปรินซ์ทรงจ่ายเงิน 12 ล้านดอลลาร์ให้แก่เวอร์จิเนีย จุฟเฟร แล้วเธอก็ยอมยุติข้อพิพาท
ตลอดที่ผ่านมา นานาปมอื้อฉาวที่ปรินซ์แอนดรูว์ทรงพัวพันกับเจฟฟรีย์ เอปสทีน อาชญากรรายใหญ่แห่งคดีค้ามนุษย์บำเรอกามข้ามชาติ ซึ่งอำนวยการให้เวอร์จิเนีย โรเบิร์ตส์ (นามสกุลของเวอร์จิเนียในเวลานั้น) เข้าไปบำเรอกามถวายปรินซ์แอนดรูว์ ได้ส่งผลกระทบกระเทือนไปเป็นกระแสกดดันสถาบันกษัตริย์อังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นับแต่ที่พระองค์ทรงประทานสัมภาษณ์แก่รายการนิวส์ไนท์ในปี 2019 และในปัจจุบันนี้ ทรงปุบปับออกมาประกาศยุติการใช้พระอิสริยยศเพื่อลดแรงสะเทือนต่อพระราชตระกูล เดอะการ์เดียนรายงานอย่างนั้น
สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ทรงมิได้ถอดถอนปรินซ์แอนดรูว์ออกจากพระอิสริยยศ
ขณะที่กระแสสังคมคอยแต่จะโหมเข้ากดดันสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ระลอกแล้ว ระลอกเล่า แต่คิงชาร์ลส์ยังไม่ทรงขยับให้เกิดภาพว่า ทรงลงดาบโดยตรงต่อพระราชอนุชา ในการนี้ เดอะการ์เดียนชี้ปมสำคัญ 2 ประการว่า ความเคลื่อนไหวครานี้ของปรินซ์แอนดรูว์ เป็นการเปิดโอกาสให้ปรินซ์ได้มีภาพลักษณ์ดีงามว่า ทรงตัดสินพระทัยถอยสุดซอยเพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ ทั้งนี้ ในหนังสือแถลงการณ์ส่วนพระองค์ ปรินซ์ทรงระบุว่า “ผมตัดสินใจในแบบที่ได้ทำเสมอมา คือจะดำเนินภาระหน้าที่ต่อพระราชตระกูลและต่อประเทศชาติก่อนสิ่งอื่นใด”
ในประการที่สอง แม้ว่าปรินซ์แอนดรูว์ทรงตัดสินพระทัยที่จะไม่ใช้พระอิสริยยศ แต่ความเป็นดยุกของพระองค์ยังคงดำรงอยู่ นี่เป็นเพียงแค่การทิ้งร้างไว้ก่อน
เจ้าชายแอนดรูว์แห่งสหราชอาณาจักรยังคงมีคำนำหน้าพระนามว่า “ปรินซ์” และยังทรงเป็นรัชทายาทลำดับที่ 8 แห่งพระราชบัลลังก์อังกฤษ ในทางทฤษฎีนั้น พระองค์ยังดำรงอยู่ในคณะที่ปรึกษาแห่งประเทศ อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะได้เป็นผู้แทนกษัตริย์ชาร์ลส์ในการปฏิบัติพระราชกิจสำคัญ หากสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ทรงพระประชวรหรือมิได้ทรงประทับในพระราชอาณาจักร กระนั้นก็ตาม แน่นอนว่าโอกาสดังกล่าวจะไม่อุบัติขึ้นอย่างแน่นอน โดยสำนักพระราชวังบัคกิงแฮมได้ให้ความกระจ่างไว้แล้วว่า ปรินซ์แอนดรูว์จะไม่ถูกร้องขอให้ปฏิบัติพระราชกิจผู้แทนพระองค์
เดอะการ์เดียนให้ข้อมูลเฉพาะเจาะจงต่างๆ ข้างต้นไว้พร้อมกันกับการย้ำว่าการที่หนังสือแถลงการณ์ส่วนพระองค์ของปรินซ์แอนดรูว์เขียนไว้ว่า พระองค์ตัดสินพระทัยหลังจากได้หารือกับกษัตริย์ชาร์ลส์แล้ว ดังนั้น จึงแทบจะไม่ต้องสงสัยเลย สำนักพระราชวังบัคกิงแฮมผลักดันอยู่เบื้องหลัง เพื่อตัดตอนพระราชตระกูลออกจากการกระทำผิดส่วนพระองค์ของปรินซ์แอนดรูว์
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นการลอยแพปรินซ์แอนดรูว์ เพื่อให้ปรินซ์บริหารจัดการกับปัญหาที่ทรงก่อไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันเวลาซึ่งหนังสือบันทึกความทรงจำของเวอร์จิเนีย จุฟเฟร (ที่มุ่งจะแบจะแฉทุกข้อมูลทั้งในส่วนของปรินซ์กับตัวเธอ และในส่วนของปรินซ์กับเจฟฟรีย์ เอปสทีน) ออกสู่บรรณพิภพในวันอังคารที่ 21 ตุลาคม 2025
ทำไมไม่มีการถอดถอนพระฐานันดรศักดิ์และพระอิสริยยศทั้งหมด “อย่างเป็นทางการ”
การถอดถอนพระฐานันดรศักดิ์ “ดยุกแห่งยอร์ก” จะสำเร็จได้ ต้องมีการตราเป็นพระราชบัญญัติโดยรัฐสภา เรื่องอย่างนี้มิได้เกิดขึ้นกับสมาชิกพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่มาเนิ่นนานกว่า 100 ปีแล้ว ยิ่งกว่านั้น ผลกระทบที่จะสะเทือนถึงสถาบันกษัตริย์ก็จะหนักหนาทีเดียว พร้อมกับจะสร้างความเสื่อมเสียพระเกียรติภูมิแห่งสมาชิกพระราชวงศ์พระองค์อื่นๆ เป็นอย่างยิ่ง เดอะการ์เดียนรายงาน
เมื่อทรงประสูติในปี 1960 ปรินซ์แอนดรูว์ทรงเป็นปรินซ์โดยทันทีตามพระชาติกำเนิดแห่งพระราชโอรสของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 การที่จะเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับตำแหน่ง “ปรินซ์” ได้นั้น จะต้องมีการตราพระราชวินิจฉัยไว้ในพระราชหัตถเลขาแห่งสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์เท่านั้น
เหนือสิ่งอื่นใด ปรินซ์แอนดรูว์จะได้รับความอัปยศอับอายอย่างที่สุด เพราะตลอดที่ผ่านมา ปรินซ์ทรงดิ้นรนรักษาสถานภาพเจ้าชายของพระองค์โดยตลอด เดอะการ์เดียนชี้ไว้อย่างนั้น
ในเวลาเดียวกัน ปมปัญหาข้อนี้ยังจะกระทบถึงการที่พระองค์ และ ซาราห์ เฟอร์กูสัน อดีตพระชายา ยังพำนักในพระตำหนักรอยัล ลอดจ์ ทั้งนี้ แม้บรรดาสื่อมวลชนหมั่นนำเสนอข่าวลือว่า กษัตริย์ชาร์ลส์ทรงพยายามจะกล่อมให้พระราชอนุชาย้ายออกจากพระตำหนักอันโอฬาร 30 ห้องพระบรรทม แต่เอาเข้าจริง ในปัจจุบันนี้ ปรินซ์แอนดรูว์ก็ยังทรงเหนียวแน่นอยู่ในรอยัล ลอดจ์ ณ พระราชฐานวินด์เซอร์ เกรทปาร์ก
ข่าวลือที่นำเสนอโดยเดลิเมลออนไลน์ยังกระพือด้วยว่า คิงชาร์ลส์ทรงเลือกที่จะใช้วิธีขอร้องให้พระราชอนุชาแอนดรูว์ยอมย้ายไปใช้พระตำหนักอื่นที่ขนาดเล็กลง เพราะปรินซ์ทรงประทับในรอยัล ลอดจ์เพียงลำพังกับอดีตพระชายาซาราห์ เฟอร์กูสัน ดังนั้น พื้นที่ใช้สอยในพระตำหนักขนาดกะทัดรัดอย่างเช่นพระตำหนักฟร็อกมอร์ ก็พอเหมาะอย่างยิ่ง แต่ในเมื่อพระราชอนุชาทรงนิ่งเฉย คิงชาร์ลส์จึงทรงรอให้ปรินซ์ประทับไปพลางก่อนตราบเท่าที่ยังสามารถชำระค่าใช้ประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์รายปีได้ไหว
เดอะการ์เดียวรายงานถึงศักยภาพทางการเงินของปรินซ์แอนดรูว์ว่า สื่อมวลชนแทบจะไม่มีข้อมูลเรื่องนี้เลย โดยทราบมาบ้างว่าเมื่อปรินซ์มิได้ทรงงานพระราชกรณียกิจสนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ เบี้ยหวัดรายปีที่ปรินซ์ทรงได้รับก็ลดลงฮวบทีเดียว
ในการนี้ เดอะการ์เดียนประเมินว่าปรินซ์แอนดรูว์ทรงครองความมั่งคั่งได้เป็นอย่างดี เพราะในปี 2007 พระองค์ประสบความสำเร็จในการขายอสังหาริมทรัพย์ผืนหนึ่งที่เป็นของขวัญแต่งงานจาะสมเด็จพระราชมารดา และปรินซ์ทรงได้รับเงินก้อนใหญ่มากถึง 15 ล้านปอนด์
ทำไมจึงทรงปุบปับตัดสินพระทัย - ปุจฉาสำคัญที่สาธารณชนอยากได้คำยืนยัน
เดอะการ์เดียนฟันธงฉะฉานตั้งแต่ย่อหน้าแรกๆ ของบทวิเคราะห์ว่า แรงบีบจากสำนักพระราชวังบัคกิงแฮมเป็นปัจจัยเบื้องหลังการตัดสินพระทัยปุบปับของปรินซ์แอนดรูว์
นอกจากนั้น สื่อค่ายยักษ์ใหญ่ของอังกฤษซึ่งไม่เอาเจ้า ยังให้ข้อมูลโยงถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ อีกด้วย
เรื่องอื้อฉาวที่พัวพันแน่นหนาอยู่รอบปรินซ์แอนดรูว์ คอยแต่จะผุดขึ้นสู่ความรับรู้ของพสกนิกร ตลอดจนชาวโลกทั้งปวง วันแล้ววันเล่าราวกับจะไม่รู้จักจบสิ้น กระทั่งว่าคิงชาร์ลส์ ตลอดจนพระญาติผู้ใหญ่ พากันสุดๆ ที่จะอดทนอดกลั้นได้
มิตรภาพที่ปรินซ์แอนดรูว์ทรงมีอยู่กับเจฟฟรีย์ เอปสทีน นักโทษคดีความผิดทางเพศต่อเด็ก ไปผุดอยู่ในพาดหัวข่าวมากมายของสื่อใหญ่น้อยทั้งหลาย อาทิ ปมที่ปรินแอนดรูว์ทรงถูกจับโกหกว่า หลังจากที่พระองค์กล่าวอ้างว่าทรงยุติการติดต่อกับเอฟสทีนแล้วนั้น ในเวลาสามเดือนต่อมาพระองค์ส่งอีเมล์ไปถึงเอปสทีนและบอกว่า “เราตกอยู่ในปัญหานี้ด้วยกัน”
นอกจากนั้น ยังมีเรื่องอื้อฉาวที่ปรินซ์แอนดรูว์ทรงเกี่ยวข้องกับสายลับจากประเทศจีน ตลอดจนเรื่องที่เวอร์จิเนีย จุฟเฟร เขียนเป็นบันทึกความทรงจำและสำนักพิมพ์รับไปจัดทำเป็นรูปเล่ม ตลอดจนดำเนินการจัดจำหน่าย โดยในตอนหนึ่งที่บรรดาสื่อมวลชนพากันนำไปขยี้กันครึกโครมคือ เวอร์จิเนียกล่าวอ้างว่าปรินซ์แอนดรูว์ “ทรงเชื่อว่าการมีเซ็กซ์กับดิฉันเป็นสิทธิตามพระชาติกำเนิดของพระองค์”
ความอัปยศอันมากมายเหล่านี้ของพระราชอนุชา ไม่เกื้อหนุนแก่กษัตริย์ชาร์ลส์ซึ่งจะทรงพบปะกับโป๊ปลีโอในสัปดาห์นี้ เดอะการ์เดียนวิเคราะห์อย่างนั้น พร้อมระบุว่าคิงชาร์ลส์ทรงไม่มีพระราชประสงค์ให้พาดหัวข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับพระราชอนุชา ผุดขึ้นรบกวนพระราชกรณียกิจในวาติกัน
ด้านบีบีซีชี้ว่าปรินซ์แอนดรูว์ทรงตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาลให้หันไปใช้กลยุทธ์กระโจนลงเหว ก่อนจะถูกมืออันทรงอำนาจจำใจผลักให้ดิ่งพสุธา
กล่าวก็คือ วิธีประกาศงดใช้พระฐานันดรศักดิ์และพระอิสริยยศจะทำให้พระองค์รักษาความเป็นดยุกแห่งยอร์กไว้ในสภาพทิ้งร้างไปพลางก่อน ในเวลาเดียวกัน ยังส่งผลให้รัฐสภาหมดโอกาสจะเข้าไปล้วงลูกและทำการออกพระราชบัญญัติถอดถอน
พร้อมกันนี้ กลยุทธ์ของปรินซ์แอนดรูว์ยังจะเอื้อให้พระธิดาทั้งสองพระองค์รอดพ้นจากการสูญเสียสถานภาพเจ้าหญิง เพราะถ้าพระองค์ถูกถอดถอน หัวโขนปรินเซสของพระธิดาก็จะต้องหลุดด้วย
ทั้งนี้ เดลิเมลออนไลน์รายงานว่า คิงชาร์ลส์ทรงเตรียมการที่จะโอบอุ้มสองพระราชนัดดาเป็นการถาวร ด้วยการโยงให้สถานภาพเจ้าหญิงเบียทริซและเจ้าหญิงยูเชนี ไปอิงไว้กับความเป็นพระราชนัดดาแห่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2
บีบีซีชี้ว่า สำนักพระราชวังบัคกิงแฮมได้ส่งสัญญาณออกมาแล้วว่า จะออกโรงดำเนินการถอดถอน เพราะมีความมั่นใจว่ารัฐสภา ตลอดจนกระแสสังคม ล้วนแต่จะสนับสนุนอย่างแน่นอน
พร้อมกันนี้ เดลิเมลออนไลน์นำเสนอข้อมูลสุดๆ ที่จะเอ็กซ์คลูซีฟจากแหล่งข่าวคนวงในลึกๆ ซึ่งเป็นขาประจำของเดลิเมลว่า
เรื่องราวอื้อฉาวน่าตกใจทั้งปวงที่ปรากฏอยู่ในบันทึกความทรงจำของเวอร์จิเนีย จุฟเฟร และถูกสื่อมวลชนทยอยนำเสนอวันแล้ววันเล่า นั้น สำนักพระราชวังมองว่ายังจะต้องมีเรื่องราวอื่นๆ อีกมหาศาลที่จะทะลักตามออกมาเป็นซีรีส์ ดังนั้นคิงชาร์ลส์จึงทรงจะต้องเคลื่อนไหวอย่างเด็ดขาดจริงจัง เพื่อควบคุมขนาดความเสียหายที่จะสาดใส่สถาบันกษัตริย์
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ปรินซ์แอนดรูว์ทรงเป็น “ดยุกแห่งหายนะ” ของพระราชตระกูลวินด์เซอร์ เพราะพระองค์ทรงตกเป็นข่าวติดลบมิได้ขาดสาย พร้อมกับเป็นสายล่อฟ้าขนาดมหึมาที่จะทำลายพระเกียรติภูมิทั้งหมดซึ่งสมาชิกพระราชวงศ์ทรงช่วยกันสร้างสมด้วยวิริยะอุตสาหะอย่างต่อเนื่องนานปี
ในเมื่อวิกฤติการณ์ของสถาบันกษัตริย์อังกฤษในรอบนี้หนักหนายิ่งนัก สิ่งที่ต้องทำอย่างเด็ดขาดคือ การสร้างความชัดเจนว่าความเสื่อมเสียทั้งปวงเป็นเรื่องส่วนพระองค์ของปรินซ์แอนดรูว์ ในการนี้คิงชาร์ลส์จึงทรงต้องลอยแพพระราชอนุชา และให้ปรินซ์รับมือกับผลกรรมทั้งปวงไปเอง โดยคิงชาร์ลส์ก็จะทรงโอบอุ้มพระราชนัดดาเบียทริซและพระราชนัดดายูเชนีไว้เป็นอย่างดี
ความเคลื่อนไหวโดยสำนักพระราชวังของคิงชาร์ลส์ในคราวนี้ นับว่าทันการณ์กับความเคลื่อนไหวของตำรวจนครบาลนิวยอร์ก ซึ่งยืนยันชัดเจนที่จะสอบสวนให้กระจ่างกับปมที่กล่าวอ้างกันว่า ปรินซ์แอนดรูว์สั่งให้นายตำรวจองครักษ์ของพระองค์สืบค้นคุ้ยหาเรื่องเน่าๆ เรื่องหลบซ่อนน่าอับอายในอดีตของ เวอร์จิเนีย จุฟเฟร
เดลิเมลออนไลน์ระบุว่า ปรินซ์แอนดรูว์ประทานข้อมูลส่วนตัวสำคัญของเวอร์จิเนีย จุฟเฟร ทั้งเลขประจำตัวบัตรประกันสังคม และทั้งวันเดือนปีเกิด ให้แก่นายตำรวจองครักษ์ของพระองค์ไปดำเนินการ และเดลิเมลออนไลน์ยังชี้เบาะแสด้วยว่าข้อมูลส่วนตัวสองรายการนี้ ปรินซ์น่าจะได้รับจากพระสหายเจฟฟรีย์ เอปสทีน
ความเคลื่อนไหวใหม่ล่าสุดดังกล่าวจากตำรวจนครบาลนิวยอร์ก อาจจะทำให้ปรินซ์แอนดรูว์เป็นสมาชิกพระราชวงศ์พระองค์แรกในรอบกว่า 20 ปี ที่ถูกบันทึกลงในทะเบียนประวัติผู้ต้องหา เดลิเมลออนไลน์เปิดประเด็นไว้อย่างนั้น (พระองค์แรกคือ เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ ในคดีสุนัขทรงเลี้ยง กัดเด็กชาวบ้านสองรายบาดเจ็บอย่างหนักในปี 2002)
ยิ่งกว่านั้น หากดรามาแห่งอาชญากรรมสุดแสนอื้อฉาวประจำศตวรรษที่ 21 (ซึ่งมีการฆ่าตัวตายของผู้ที่เกี่ยวข้องเกิดขึ้นมามากถึง 2 ราย และมีผู้ที่เกี่ยวข้องต้องโทษจำคุก 1 ราย) จำจะต้องลงเอยด้วยขั้นตอนของศาลอาญาในสหรัฐอเมริกา อันได้แก่ การที่ปรินซ์แอนดรูว์ถูกกำหนดโทษจำคุกนั้น
ก็จะมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าดรามาขั้นสุดดังกล่าว จะทำให้คิงชาร์ลส์ต้องตราพระราชวินิจฉัยขึ้นมาในพระราชหัตถเลขา ว่าด้วยการถอดถอนพระอิสริยยศปรินซ์แห่งพระชาติกำเนิด ของปรินซ์แอนดรูว์ ซึ่งจะทำให้ปรินซ์ทรงสูญสิ้นหัวโขน และกลายเป็นสามัญชน – มิสเตอร์แอนดรูว์ เมานต์แบ็ตเทน (พระนามสกุลของพระบิดา “ฟิลิป เมานต์แบ็ตเทน” ที่ทรงใช้ในห้วงสั้นๆ เพราะทรงต้องสละพระอิสริยยศเจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์ก ก่อนเข้าสู่พระราชพิธีเสกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ พระราชธิดาแห่งสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แล้วจึงได้รับพระอิสริยยศใหม่คือ ปรินซ์ฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ)
บีบีซีจึงชี้แนวทางเพื่อปิดจบความอื้อฉาวอันยืดเยื้อว่า ในท้ายที่สุดปรินซ์แอนดรูว์ควรจะปลีกตัวออกจากชีวิตพระราชวงศ์ และเดินจากไป เพราะฝ่ายต่างๆ ในอังกฤษและในสหรัฐอเมริกาที่มุ่งจะเอาปรินซ์ให้สูญเสียหมดสิ้นกระทั่งตำแหน่งเจ้าชาย หรือมุ่งจะให้พระองค์ต้องเผชิญชะตากรรมเฉกเช่นเจฟฟรีย์ เอปสทีนนั้น จะไม่ยอมยุติการรณรงค์ลงง่ายๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส.ส.โรเบิร์ต การ์เซีย แห่งพรรคเดโมแครตในรัฐสภาอเมริกัน ซึ่งผลักดันอย่างจริงจังให้มีการเปิดข้อมูลคดีเจฟฟรีย์ เอปสทีน โดยส.ส.การ์เซีย วิจารณ์ความเคลื่อนไหวล่าสุดของปรินซ์แอนดรูว์ว่า
“การตัดสินพระทัยที่จะยุติการใช้ตำแหน่งต่างๆ นั้น มาไม่ทันการณ์แล้ว พวกเรารู้จักบุคคลผู้ร่ำรวยและมากมายด้วยอำนาจ ซึ่งใช้เงินและอำนาจไปทำร้ายเด็กสาวและหญิงสาวมากมาย บุคคลเหล่านี้ยังใช้เงินและอำนาจไปสร้างโล่ปกป้องตนเองจากระบบความยุติธรรม การตัดสินพระทัยของปรินซ์แอนดรูว์จะเป็นเพียงการเริ่มต้นแห่งการมอบความยุติธรรมให้แก่บรรดาเหยื่อของการค้ามนุษย์บำเรอกาม”
บรรดาปมปัญหาอันเกี่ยวเนื่องกับการกระทำของพระองค์จะจบลงได้จริงหรือ บีบีซีทิ้งปุจฉาไว้อย่างนั้น
คอลัมน์ PLANET No.3
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา: เดอะการ์เดียน บีบีซี เดลิเมลออนไลน์)