ทรัมป์ย้ำเส้นตายออกมาตรการแซงก์ชันใหม่ศุกร์นี้ (8 ก.ค.) เว้นแต่รัสเซียยอมดำเนินการเพื่อยุติสงครามในยูเครน ด้านเครมลินคาดหวัง “การเจรจาสำคัญ” กับผู้แทนพิเศษของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเดินทางเยือนมอสโกกลางสัปดาห์นี้ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียประกาศยุติการปฏิบัติตามสนธิสัญญาไม่แพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง (ไอเอ็นเอฟ)
ในวันจันทร์ (4 ส.ค) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า จะออกมาตรการแซงก์ชันใหม่ใช้เล่นงานรัสเซียตั้งแต่วันศุกร์ (8) นี้ รวมถึงประเทศต่างๆ ที่สั่งซื้อพลังงานรัสเซีย เว้นแต่มอสโกจะดำเนินการเพื่อยุติสงครามในยูเครนที่ดำเนินมา 3 ปีครึ่ง
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านั้น เมื่อวันอาทิตย์ (3) ทรัมป์ยืนยันว่า จะส่งสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษของตนเอง ไปเยือนรัสเซียในวันพุธ (6) หรือพฤหัสฯ (7) เพื่อย้ำเส้นตายดังกล่าวกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน
ที่ผ่านมา การกดดันของวอชิงตันดูเหมือนไร้ผล โดยรัสเซียยังคงโจมตียูเครนหนักหน่วงและต่อเนื่อง ขณะที่การเจรจาสันติภาพ 3 รอบซึ่งจัดขึ้นที่เมืองอิสตันบูล, ตุรกี ประสบความล้มเหลวในการปูทางสู่ข้อตกลงหยุดยิง
มอสโกยังคงยืนกรานเรียกร้องให้เคียฟต้องยอมสละดินแดน 4 แคว้นให้ตน รวมทั้งยุติแผนการเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) เวลาเดียวกันก็ประณามตะวันตกที่ให้การสนับสนุนยูเครน ขณะที่เคียฟต้องการให้มีการหยุดยิงในทันที และสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ยังเรียกร้องให้พันธมิตรผลักดันเพื่อ “เปลี่ยนระบอบการปกครอง” ในมอสโก
ด้าน ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า รัสเซียคาดการณ์ว่า การเจรจากับวิตคอฟฟ์จะมีความสำคัญและเป็นประโยชน์ พร้อมยกย่องความพยายามของอเมริกาในการยุติความขัดแย้งในยูเครน
ทั้งนี้ ปูตินพบกับวิตคอฟฟ์มาแล้วหลายครั้งในมอสโก ก่อนที่ความพยายามของทรัมป์ในการเยียวยาความสัมพันธ์กับเครมลินจะสะดุดลง
เปสคอฟเสริมว่า รัสเซียใส่ใจอย่างมากในประเด็นการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ และเชื่อว่า ทุกประเทศควรระมัดระวังวาทกรรมเกี่ยวกับนิวเคลียร์อย่างมากเช่นเดียวกัน
การแสดงความคิดเห็นนี้เป็นการพาดพิงโดยตรงถึงการประกาศของทรัมป์เมื่อวันอาทิตย์ (3) ที่ว่า เขาได้สั่งการให้ส่งเรือดำน้ำนิวเคลียร์ 2 ลำไปยัง “ภูมิภาค” ที่เขาไม่ได้พูดชัดเจนว่าเป็นที่ใด เป็นการตอบโต้คำเตือนของ ดมิตริ เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย เกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ระหว่างอเมริกากับรัสเซีย ซึ่งเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์โลกทั้งคู่ ทั้งนี้คำพูดของเมดเวเดฟทำให้ทรัมป์ไม่พอใจมาก โดยมองว่าเป็นการข่มขู่
รัสเซียประกาศไม่ปฏิบัติฝ่ายเดียวตามข้อตกลงขีปนาวุธพิสัยกลางต่อไปแล้ว
ขณะเดียวกัน เมื่อวันจันทร์ เมดเวเดฟออกมาแถลงว่า มอสโกตัดสินใจยกเลิกการปฏิบัติตามแต่ฝ่ายเดียวในสนธิสัญญานิวเคลียร์พิสัยกลาง (ไอเอ็นเอฟ) ที่ลงนามกันไว้เมื่อปี 1987 โดยเขากล่าวโทษว่า สาเหตุเนื่องมาจากนโยบายต่อต้านรัสเซียของพวกชาติสมาชิกนาโต
คำพูดของเขาเป็นการสำทับความเคลื่อนไหวของกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ที่ได้ออกคำแถลงระบุว่า มอสโกเชื่อว่า เมื่อมาถึงเวลานี้ เงื่อนไขในการยึดมั่นในสนธิสัญญาซึ่งได้ทำไว้ร่วมกับอเมริกาฉบับนี้ "ไม่ปรากฏอยู่แล้ว” และรัสเซีย “ไม่ถือว่าตนเองอยู่ภายใต้สนธิสัญญานี้อีกต่อไป”
สนธิสัญญาไอเอ็นเอฟซึ่งมีเนื้อหาแบนขีปนาวุธที่ยิงจากภาคพื้นดินและมีระยะโจมตี 500-5,500 กม. สหรัฐฯนั้นถือว่า INF ล่มลงมาตั้งแต่ปี 2019 หลังจากวอชิงตันประกาศถอนตัวโดยอ้างว่า รัสเซียละเมิดสนธิสัญญา มอสโกปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นและโจมตีว่า อเมริกาเองเป็นฝ่ายพัฒนาขีปนาวุธต้องห้ามดังกล่าว รวมทั้งปูตินเตือนว่า ความล้มเหลวของไอเอ็นเอฟจะบ่อนทำลายกรอบความมั่นคงของโลกอย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน ทำเนียบเครมลินยังประกาศในเวลานั้นว่า ฝ่ายตนจะเลื่อนเวลานำเอาขีปนาวุธต้องห้ามตาม INF มาติดตั้งประจำการเอาไว้ก่อน จนกว่าสหรัฐฯมีการเคลื่อนไหวเรื่องนี้แล้ว
คำแถลงของกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียชี้ว่า ปีที่แล้วอเมริกาได้นำระบบยิงขีปนาวุธ “ไทฟอน” ไปติดตั้งในฟิลิปปินส์ และเคยยิงขีปนาวุธนี้ระหว่างการซ้อมรบ “ทาลิสแมน เซเบอร์” ในออสเตรเลีย
ไทฟอนเป็นระบบยิงขีปนาวุธจากภาคพื้นดินเคลื่อนที่ซึ่งสามารถใช้ยิงขีปนาวุธร่อน “โทมาฮอว์ก” ที่มีระยะโจมตีสูงสุด 1,800 กม. ตลอดจนขีปนาวุธอเนกประสงค์ “เอสเอ็ม-6” ที่มีระยะโจมตีสูงสุด 500 กม.
กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียยังตั้งข้อสังเกตว่า กองทัพออสเตรเลียได้ทดสอบ Precision Strike Missile (PrSM) ของอเมริกาครั้งแรกในเดือนก.ค. โดยขีปนาวุธนี้มีระยะโจมตีสูงสุดเกิน 500 กม. และมีบทบาทสำคัญในการเสริมแสนยานุภาพการโจมตีภาคพื้นดินและทางทะเลของออสเตรเลีย
คำแถลงของรัสเซียบอกว่า ผู้นำรัสเซียจะเป็นผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้ที่เฉพาะเจาะจง โดยอิงกับการวิเคราะห์ของหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลเกี่ยวกับระดับการติดตั้งขีปนาวุธภาคพื้นดินพิสัยใกล้และพิสัยกลางของอเมริกาและชาติตะวันตกอื่นๆ ตลอดจนถึงพัฒนาการโดยรวมของสถานการณ์ในภาคสนามเกี่ยวกับเสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์และความมั่นคงระหว่างประเทศ
(ที่มา: เอเอฟพี/อาร์ที/รอยเตอร์/เอพี)