(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/07/to-change-or-not-to-change-in-xis-china/)
To change or not to change in Xi’s China
by Francesco Sisci
23/07/2025
ข่าวลือแพร่สะพัดว่า สี จิ้นผิง กำลังสูญเสียความสามารถในการกุมอำนาจที่มีอยู่อย่างมากมายมหาศาล อย่างไรก็ตาม องค์กรและหน่วยงานใหม่ๆ ซึ่งกำลังจัดตั้งขึ้นมาในจีน อาจจะเป็นเครื่องมือสำหรับปรับแต่งรายละเอียดให้เขาใช้อำนาจได้อย่างกระชับหนักแน่นยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพื่อการทัดทานคานอำนาจของเขาแต่อย่างไร
เมื่อปี 2012 ปีที่ สี จิ้นผิง ขึ้นครองอำนาจ มันเป็นวาระครบรอบ 63 ปีที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าปกครองประเทศจีน มันเป็นช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตอย่างล้ำลึกทั้งภายในพรรคและภายในประเทศ โดยมีหลักหมายข้อสังเกตเปรียบเทียบจากเหตุการณ์ที่ชวนให้วิตกกังวลซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต
ในปี 1980 วาระครบรอบ 63 ปีแห่งการปกครองประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียต ได้เกิดการประท้วงครั้งที่ใหญ่ที่สุดและครั้งที่หยั่งรากลึกที่สุดในจักรวรรดิโซเวียต ปะทุขึ้นในโปแลนด์ ย้อนหลังไปก่อนหน้านั้น 24 ปี คือเมื่อปี 1956 อำนาจของสหภาพโซเวียตได้ถูกสั่นคลอนเป็นครั้งแรกโดยการลุกฮือที่กรุงบูดาเปสต์ (เมืองหลวงของฮังการี) จากนั้นอีก 12 ปีต่อมา คือในปี 1968 มันก็เป็นคราวของกรุงปราก การประท้วงทั้ง 2 ครั้งนั้นต่างถูกสหภาพโซเวียตปราบปรามอย่างนองเลือด
(หมายเหตุผู้แปล - กรุงปรากเมื่อปี 1968 เป็นเมืองหลวงของเชโกสโลวาเกีย ต่อมาในปี 1993 เชโกสโลวาเกีย ได้แบ่งแยกออกเป็น 2 ประเทศ คือสาธารณรัฐเช็ก หรือ เช็กเกีย และ สโลวาเกีย จนกระทั่งถึงปัจจุบัน โดยที่ปรากเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐเช็ก ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Czechoslovakia)
นี่ทำท่าว่าจะเป็นชะตากรรมของกรุงวอร์ซอ (เมืองหลวงของโปแลนด์) ด้วยเช่นกัน แต่แล้วสิ่งต่างๆ กลับมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งกว่านั้นมาก ในเวลานั้นสมเด็จพระสันตะปาปา ในกรุงโรมเป็นชาวโปแลนด์ (นั่นคือโป๊ปจอห์นปอลที่2 John Paul II โดยทรงครองตำแหน่งสมเด็จพระสันตะปาปาระหว่างเดือนตุลาคม 1978 – เดือนเมษายน 2005) ซึ่งทรงมีพระดำรัสกับบรรดาคนงานที่กำลังจัดการประท้วงขึ้นในอู่ต่อเรือต่างๆ ของโปแลนด์ ไม่เพียงเท่านั้น ในกรุงวอชิงตัน ก็มีชาวคาทอลิกผู้เคร่งครัดศาสนาคนหนึ่งเป็นผู้อำนวยการของสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) (หมายถึง วิลเลียม เจ เคซีย์ William J Casey ซึ่งเป็นผู้นำของซีไอเอระหว่างเดือนมกราคม 1981 - เดือนมกราคม 1987) การประท้วงครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่เมืองใหญ่เมืองเดียว แต่แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งประเทศ อีกทั้งโปแลนด์ก็เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่าทั้ง ฮังการี และ เชโกสโลวาเกีย
รัฐบาลโปแลนด์ในตอนนั้น มีความตระหนักถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นมา และมุ่งแสวงหาหนทางที่จะก่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเสถียรภาพกับการดำเนินการปฏิรูป สำหรับที่กรุงมอสโก ก็มีความรู้สึกเหนื่อยล้ากับการใช้จุดยืนแบบแข็งกร้าวมาจัดการกับพวกผู้ประท้วง ซึ่งโดยสาระสำคัญแล้ว ไม่ใช่เป็นพวกต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างโต้งๆ ชัดเจน หากเป็นพวกที่มุ่งหวังเสาะหาระบบสังคมนิยมที่มีมนุษยธรรมมากขึ้นและเป็นเสรียิ่งขึ้น
สหภาพโซเวียตนั้น นับตั้งแต่ขึ้นครองอำนาจในปี 1917 ได้ตอบโต้แรงกดดันจากกระแสเสรีนิยม ด้วยการเข้ากดขี่ปราบปรามเป็นประการสำคัญเรื่อยมา แต่แบบแผนวิธีการเช่นนั้นดูไม่เหมาะสมที่จะนำมาปฏิบัติอีกต่อไปแล้ว มันไม่ได้เคยสามารถยุติภาวะฉุกเฉินทางการเมืองซึ่งเกิดขึ้นมาอย่างเป็นวัฎจักร และทำท่าจะทำให้ระบบของพวกเขาจบสิ้นลงด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงดูเหมือนจำเป็นต้องใช้การตอบสนองที่แตกต่างออกไปและมีความอดทนอดกลั้นมากขึ้น
การผสมผสานกันอย่างโกลาหลอลหม่านและไร้ระเบียบของปัจจัยต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้ ในอีกไม่กี่ปีต่อมา ก็ได้นำไปสู่ความพยายามที่จะดำเนินการปฏิรูปภายใต้การนำของ มิคฮาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียตในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม 1985 - เดือนสิงหาคม 1991) การปฏิรูปเหล่านี้ในที่สุดแล้วก็ประสบความล้มเหลว หลักฐานที่ปรากฏให้เห็นคือการเกิดความพยายามทำรัฐประหารยึดอำนาจโดยพวกสายแข็งกร้าวในดือนสิงหาคม 1991 และจากนั้นในอีก 12 ปีต่อมา สหภาพโซเวียตก็ถึงจุดอวสาน
จีนในปี 2012
ในปี 2012 จีนก็เผชิญกับสถานการณ์ความยากลำบากทำนองเดียวกัน นับถึงเวลานั้นจีนก็ได้ใช้เวลาประมาณ 30 ปีแล้ว ในการผ่านประสบการณ์การพัฒนาประเทศโดยใช้สูตรที่แตกต่างออกไปจากโมเดลแบบสหภาพโซเวียต ด้วยการค่อยๆ อนุญาตให้มีเสรีภาพทางเศรษฐกิจและเสรีภาพส่วนบุคคล แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงกำราบปราบปรามอิสรภาพทางการเมือง ทั้งนี้สำหรับโซเวียตนั้น มุ่งควบคุมจำกัดทั้งเสรีภาพทางเศรษฐกิจและเสรีภาพทางการเมือง
พิจารณาจากแง่มุมในทางปฏิบัติแล้ว ประมาณช่วงระยะเวลาเดียวกับที่ เติ้ง เสี่ยวผิง ริเริ่มดำเนิน “การปฏิรูป 4 ทันสมัย” (ได้แก่ การสร้างความทันสมัยให้แก่จีน ในด้าน เกษตรกรรม, อุตสาหกรรม, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, การป้องกันประเทศ) ต่อมาไม่นานนัก ในทศวรรษ 1980 ก็ได้เกิดการประท้วงปะทุขึ้นในกรุงปักกิ่ง ตรงบริเวณกำแพงของเขตซีตาน (Xidan) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางของกรุงปักกิ่ง มีการเขียนข้อความเรียกร้อง “ความทันสมัยอย่างที่ 5” ซึ่งก็คือ ประชาธิปไตย การประท้วงครั้งนั้นได้ถูกปราบปรามจนล้มหายตายจากไป ทว่ามิได้ถูกลืมเลือน ในปี 1989 มันก็ปะทุขึ้นมาอีกคำรบหนึ่งอย่างใหญ่โต ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน
ในปี 1999 หรืออีก 10 ปีถัดมา วิกฤตการณ์การประท้วงของพวกฝ่าหลุนกง (Falun Gong) ปรากฏขึ้น และในปี 2012 หรืออีกเกือบ 1 ทศวรรษถัดมา ประเทศจีนก็ประสบความลำบากยุ่งยากอีกคำรบหนึ่ง กล่าวคือ ผู้บัญชาการตำรวจของนครฉงชิ่ง ซึ่งเป็นนครใหญ่ที่ทรงความสำคัญมาก นอกจากนั้นแล้ว เขายังเป็นผู้ที่มีความสนิทใกล้ชิดกับ ปั๋ว ซีไหล (Bo Xilai) ซึ่งเวลานั้นเป็นสมาชิกคนหนึ่งในกรมการเมือง ปรากฏว่าบุคคลผู้นี้ได้หลบหนีไปยังสถานกงสุลอเมริกันในเมืองเฉิงตู ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน โดยหอบเอาพวกเอกสารลับติดตัวไปด้วยเป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้นแล้ว น้องชายของ หลิง จี้หวา (Ling Jihua) ผู้ครองตำแหน่งระดับกลางๆ แต่ทรงอิทธิพลมากๆ อย่าง ผู้อำนวยการของสำนักงานทั่วไปของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Director of General Office of the Chinese Communist Party) อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าสำนักงานของประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ที่ในเวลานั้นกำลังจะครบวาระและพ้นจากตำแหน่ง ก็ได้หลบหนีไปยังสหรัฐฯพร้อมด้วยแฟ้มลับมากมายเป็นภูเขา มันคือความปั่นป่วนอลหม่าน แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นเสียอีกก็คือ มันเป็นหลักฐานพิสูจน์ว่าข้อตกลงที่ได้กระทำกันในการประชุมสมัชชาพรรคปี 2002 – เมื่อประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน ได้ก้าวลงจากตำแหน่ง ทว่ากลับยินยอมถ่ายโอนอำนาจเพียงแค่บางส่วนไปให้แก่ หู จิ่นเทา ทายาทผู้สืบต่อจากเขานั้น—กำลังล้มครืนลงแล้ว
ความสับสนในเรื่องอำนาจระหว่างผู้นำเก่ากับผู้นำใหม่ครั้งนั้น ยังชวนให้ย้อนระลึกไกลออกไปอีกหน่อย ถึงการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้นำรุ่นเก่า กับพวกสมาชิกรมการเมืองที่กำลังครองอำนาจอยู่ ซึ่งได้นำไปสู่การประท้วงและการปราบปรามที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ในปี 1989
การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1992 เป็นสิ่งที่ทอดเงาทะมึนเหนือประเทศจีน พวกผู้นำของพรรคโต้แย้งว่า การปฏิรูปทางการเมืองเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยนั้น สามารถที่จะก่อผลกระทบต่างๆ ที่ขยายตัวบานปลาย จนกระทั่งควบคุมไม่อยู่ นำไปสู่การแตกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ ของรัฐ ขณะที่ในปี 2012 โดยสาระสำคัญแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์จีนมองเห็นว่ามีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะสามารถฟื้นฟูความเป็นระเบียบขึ้นมาได้ใหม่ ก็คือการรวมศูนย์อำนาจเข้ามาอยู่ในมือของผู้ที่ได้รับการวางตัวให้เป็นทายาทสืบทอดตำแหน่งผู้นำคนต่อไป ซึ่งก็คือ สี จิ้นผิง
จีนในปี 2025
มาถึงวันนี้ 13 ปีภายหลังการหักเลี้ยวอย่างเด็ดเดี่ยวในคราวนั้น ประเทศกำลังปรากฏรอยร้าวของการรวมศูนย์อำนาจให้เห็นเต็มไปหมด ทว่าการเมืองก็เป็นแบบนั้นแหละ—ไม่มีอะไรคงอยู่อย่างถาวร ปรัชญาของจีนเชื่อว่านโยบายที่ถูกต้องก็เหมือนกับฝนที่ตกลงมาถูกจังหวะเวลา มันไม่ควรที่จะตกเร็วเกินไปหรือตกช้าเกินไป และมันก็ไม่ควรที่จะตกมากเกินไปหรือตกน้อยเกินไป
ใช่ครับ ปัจจุบัน การส่งออกของจีนกำลังเฟื่องฟูขยายตัวมาก และเทคโนโลยีของจีนก็กำลังก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว แต่เศรษฐกิจภายในประเทศกลับมีสุขภาพที่ย่ำแย่ มีทั้งปัญหาภาวะเงินฝืด, ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นพลังตัวหลักในการขับดันเศรษฐกิจมากว่า 2 ทศวรรษก็พังไม่เป็นท่า
พวกนายธนาคารกำลังพิจารณาเรื่องใช้อัตราดอกเบี้ย 0% เพื่อกระตุ้นอัตราเติบโตที่เอื่อยเฉื่อย เรื่องนี้มีความสำคัญยิ่งยวดในขณะที่ทั่วโลกกำลังต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อสูงและอัตราดอกเบี้ยโลดลิ่ว ภาวะการขาดดุลทั้งของพวกรัฐบาลท้องถิ่นและของพวกรัฐวิสาหกิจจีนกำลังพองโตขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับอัตราส่วนหนี้สินต่อจีดีพีของประเทศ
แต่ผู้คนเหล่านี้ ซึ่งเป็นผู้ที่สูญเสียเงินทองไปจำนวนมากมายแล้ว ไม่ได้มีสิทธิโหวตและไม่มีปากเสียงใดๆ พวกเจ้าหน้าที่ระดับกลางก็มีความโกรธเกรี้ยวกับแรงกดดันจากเบื้องบน และไม่มีช่องทางใดๆ ที่จะหาเงินทองพิเศษข้างเคียง (อย่างที่พวกเขาเคยทำได้ก่อนหน้านี้) ส่วนคนหนุ่มสาวที่เพิ่งจบการศึกษาก็ไม่สามารถหางานทำได้ และอะไรต่อมิอะไรทำนองนี้
ทั้งหมดเหล่านี้แสดงตัวออกมา ขณะที่ผู้คนจำนวนมาก “นอนราบกับพื้นเฉยๆ” หรือที่พูดกันในภาษาจีน “ถ่างผิง” และปล่อยให้สิ่งต่างๆ เน่าเสียผุพังไปโดยไม่สนใจใยดี หรือ “ป่ายล่าน” ซึ่งมันหมายความว่าผู้คนไม่ต้องการใช้จ่าย หรือเน้นหนักพยายามประหยัดอดออมให้ได้มากที่สุดเนื่องจากความหวาดกลัวต่ออนาคต ผู้ประกอบการจำนวนมากกำลังยุติการลงทุน, และอัตราการเติบโตก็ได้รับการผลักดันโดยพวกโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลัก ซึ่งโครงการเหล่านี้ก็ขยายหนี้สินภายในประเทศ, นำไปสู่ความไร้ประสิทธิภาพและการใช้ทรัพยากรต่างๆ อย่างสิ้นเปลือง และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน
แต่สิ่งเหล่านี้ได้แปรเปลี่ยนทำให้เกิดเป็นแรงคัดค้านอย่างกระตือรือร้นขึ้นภายในคณะกรรมการกลางพรรค –เป็นองค์กรซึ่งมีศักยภาพที่จะปลด สี ได้—ใช่หรือไม่? ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะพวกเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเชื่อว่าสามารถซ่อมแซมแก้ไขปัญหาได้ เพียงแต่พวกเขาจำเป็นที่จะต้องโยกย้าย “คนใหญ่คนโต” คนนั้น ทว่านี่คือการปฏิบัติการที่มีอันตรายสูงมาก เมื่อมีความพยายามสักสองสามครั้งโดยไม่ประสบความสำเร็จแล้ว บ่อยครั้งทีเดียวมันก็จะนำไปสู่การจบสิ้นของพวกกบฏ
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีเรื่องการคาดคำนวณในขอบเขตใหญ่โตกว้างขวางกว่านั้นอีก ซึ่งจะต้องคำนึงถึงเอาไว้ด้วย กล่าวคือ ระบบนี้สร้างขึ้นมาในลักษณะที่แวดล้อมอยู่รอบๆ จักรพรรดิ ดังนั้น ถ้าหากคุณโค่นจักรพรรดิลงไปแล้ว ระบบนี้ยังจะอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่? ถ้าหากไม่ได้ พวกเจ้าหน้าที่ทั้งหลายย่อมมีความเสี่ยงที่จะต้องสูญเสียตำแหน่งของพวกเขาไปพร้อมๆ กับการถูกถอดจากตำแหน่งของผู้นำ ด้วยเหตุนี้เพื่อเป็นการรักษาตัวเองให้อยู่รอดต่อไป พวกเขาจึงต้องพิทักษ์ปกป้องจักรพรรดิเอาไว้ก่อน ไม่ว่าจะยังไงก็ตามที
ทางด้านชนชั้นกลางก็ตกอยู่ในสถานการณ์ทำนองเดียวกัน บ้านของพวกเขาสูญเสียมูลค่าไปถึงครึ่งหนึ่งแล้ว และเงินออมของพวกเขาก็หดหายไปอย่างน่าตื่นตกใจ แต่ถึงยังไงครึ่งหนึ่งก็ยังดีกว่าไม่เหลืออะไรเลย –โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ถ้าหากเกิดการปฏิวัติพลิกแผ่นดินขึ้นมา พวกเขายังมีอะไรอีกมากที่จะสูญเสียไป ขณะที่การปฏิวัตินั้นเป็นสิ่งที่เข้าร่วมทำการสู้รบโดยผู้คนที่ไม่มีอะไรเหลือให้สูญเสียแล้วนอกจากโซ่ตรวนของพวกเขา
ระหว่างเกิดเหตุการณ์ประท้วงที่เทียนอันเหมิน ผู้คนเดินทางมายังจัตุรัสแห่งนั้นด้วยรถจักรยานซึ่งพวกเขาทิ้งเอาไว้ตรงหัวมุมถนนโดยไม่มีการล็อกรถ และพวกเขาก็ฉวยคว้าคันแรกที่พวกเขาพบเห็นในตอนที่ออกจากที่ชุมนุม –พวกเขากระทั่งไม่ได้เป็นเจ้าของรถจักรยานสักคันหนึ่งด้วยซ้ำไป มันยังคงแทบจะเป็นอย่างเดียวกันเลยในปี 1999 ระหว่างการประท้วงต่อต้านอเมริกันภายหลังจากสหรัฐฯทิ้งระเบิดถล่มสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงเบลเกรด แล้วจากนั้นออกคำแถลงว่าเป็นการโจมตีอย่างผิดพลาด
ในตอนนั้นพวกเขาไม่มีอะไรจะสูญเสีย แต่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจจะได้มาด้วยการปฏิวัติ มาถึงตอนนี้ ผู้คนจำนวนมาก (ผู้คนส่วนใหญ่ด้วยซ้ำไป) มีอะไรบางอย่างที่จะต้องสูญเสียไป ส่วนสิ่งที่จะได้มาก็ดูไม่มีความแน่นอนเอาเลย
ไม่มีบรรยากาศของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
ยิ่งไปกว่านั้น เวลานี้บรรยากาศระหว่างประเทศยังแตกต่างออกไป มีช่วงเวลาอยู่หลายสิบปีทีเดียว ที่อุดมการณ์เรื่องเสรีภาพและเสมอภาคเบ่งบานแพร่กระจายออกไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ในบูดาเปสต์, ปราก, วอร์ซอ, มอสโก, หรือผู้คนใน ซีตาน และจัตุรัสเทียนอันเหมิน ต่างเรียกร้องต้องการประชาธิปไตยกันทั้งนั้น เพราะทั้งหมดต่างคิดว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งดีงาม
แต่เวลานี้ประชาธิปไตยไม่ใช่สิ่งที่น่าเชื่อถืออะไรนักหนาไปเสียแล้ว สหรัฐฯเคยพยายามที่จะส่งออกมันเหมือนกับว่ามันเป็นเทคโนโลยีอย่างหนึ่ง หรือโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง ไปยังบรรดาประเทศเคร่งครัดศาสนาอิสลามทั้งหลาย และก็ถูกปฏิเสธบอกปัด สภาพเช่นนั้นอาจจะกลายเป็นการทำให้เชื้อไวรัสแห่งความสงสัยข้องใจ ซึ่งค่อยๆ ซึมกลับเข้าไปในโลกตะวันตกอีกด้วย
เป็นความจริงทีเดียว ยังมีพวกแนวความคิดแบบฝ่ายขวาตามประเพณีในรูปโฉมใหม่ (neo-traditional right) ซึ่งเป็นแบบใหม่ๆ ยิ่งกว่าเก่า กำลังแพร่ออกมาจากทางรัสเซีย ขณะเดียวกัน พวกอารมณ์ความรู้สึกแบบอนุรักษนิยมใหม่ (neo-conservative) และการต่อต้านประชาธิปไตยในรูปแบบใหม่ๆ ก็กำลังเติบโตขยายตัวไปทั่วทั้งสองฟากฝั่งแอตแลนติก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ไม่ได้กระตือรือร้นอะไรนักหนากับเรื่องประชาธิปไตย ซึ่งก็เฉกเช่นเดียวกับพวกผู้นำฝ่ายขวาหัวรุนแรง (radical right) จำนวนมากในยุโรป
ฝ่ายตะวันตกสูญเสียแนวความคิดอุดมการณ์เกี่ยวกับสังคมแห่งความเท่าเทียมกันของมนุษย์ (egalitarian society) ไปแล้ว พร้อมกับความล้มเหลวของจักรวรรดิโซเวียต และไม่นานต่อมาหลังจากนั้น แสงสว่างแห่งลัทธิเสรีนิยม (liberalism) ก็ดูเหมือนหม่นหมองมัวซัวไปด้วย พวกสังคมตะวันตกนั้นเคยพยายามเสาะแสวงหาประชาธิปไตยแบบประชาธิปไตยสังคมนิยม (social democracy) ในช่วงทศวรรษ 1960 และทศวรรษ 1970 เมื่อตอนที่พวกเขายังมีฐานะมั่งคั่งล้นเหลือ, มีลูกมีหลานกันเยอะๆ, และความแตกต่างไม่เท่าเทียมกันอย่างสำคัญ คือเครื่องหมายของความบกพร่องผิดพลาดในการแบ่งปันกระจายความมั่งคั่งร่ำรวยระหว่างชาติต่างๆ ทั่วโลก พวกประเทศพัฒนาแล้วเป็นพวกที่ร่ำรวยอย่างมีความปลอดภัย ส่วนพวกประเทศกำลังพัฒนานั้นเป็น “โลกที่สาม” (third world)
เวลานี้ พวกประเทศร่ำรวยไม่มีลูกไม่มีหลานกันอย่างมากมายอีกแล้ว ผู้คนในทุกวันนี้มีความคาดหวังในเรื่องความมั่งคั่งต่ำลงมากว่าที่พวกพ่อแม่ของพวกเขาเคยมีกัน มีอารมณ์ความรู้สึกกันด้วยว่าความมั่งคั่งล้นเหลือที่มีอยู่ในปัจจุบันจะต้องถูกพรากเอาไป และการไหลบ่าเข้ามาของพวกผู้อพยพซึ่งอยู่ในวัฒนธรรม, นิสัยความเคยชิน, และความมุ่งมาดปรารถนา ต่างๆ ที่แตกต่างออกไป แต่กำลังเคาะประตูของพวกเขาและกำลังขอทานขอเงินยังชีวิตอยู่ตามทุกหัวมุมถนนในเมืองของพวกเขา คือสัญญาณในทางปฏิบัติที่แสดงให้เห็นว่า การถูกพรากไปจากชีวิตสุขสบายล้นเหลือของพวกเขากำลังเกิดขึ้นมาแล้ว อุดมคติเช่นนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย หรือ ลัทธิความเสมอภาคเท่าเทียมระหว่างมนุษย์ซึ่งมีความยิ่งใหญ่มากกว่านั้น มันเป็นเพียงแค่เรื่องของการดิ้นรนด้วยจุดมุ่งมายเพื่อเอาชีวิตรอด เป็นเพียงความพยายามที่จะยึดสถานะปัจจุบันของพวกเขาเอาไว้ให้แน่นๆ
สภาพแวดล้อมในทางระหว่างประเทศและในระดับประเทศเข้ามาบรรจบพบกัน ผลลัพธ์ก็คือ ไม่มีฝ่ายค้านที่กระตือรือร้นใดๆ ในประเทศจีน ด้วยเหตุนี้ สี จึงยึดกุมอำนาจได้มากกว่าที่เคยเป็นมาเมื่อก่อนนี้ สถานการณ์เช่นนี้สามารถที่จะยืดยาวต่อไปหรือไม่? จะยืนยาวไปได้อีกนานแค่ไหน? อะไรที่จะสามารถกลายเป็นจุดปะทุที่ทำให้เกิดการพลิกผันเปลี่ยนแปลง?
เหล่านี้คือคำถามสำหรับอนาคต ทว่าเกาหลีเหนือก็สามารถนำเอามาใช้พิจารณาในฐานะเป็นเครื่องเตือนใจ กล่าวคือ พวกรัฐบาลที่ใช้อำนาจบังคับกดขี่นั้นสามารถอยู่ยั้งยืนยงได้ยาวนานกว่าที่ได้รับการคาดหมายกัน กระทั่งไม่ต้องไปพิจารณาถึงเกาหลีเหนือหรอก เวียดนามและคิวบาที่ยังคงประกาศตัวเป็นรัฐสังคมนิยม เวลานี้ยังคงยืนหยัดอยู่ได้เช่นกัน ประเทศจีนนั้นมีขนาดใหญ่กว่าชาติที่เอ่ยนามมาเหล่านี้มาก และก็มีรอยแตกรอยแยกมากกว่าและขนาดใหญ่กว่าด้วย แต่มันก็ไม่มีความแน่นอนใดๆ ในเรื่องที่ว่าอนาคตจะเป็นยังไงกันต่อไป
ทำไมจึงเกิดข่าวลือขึ้นมาในตอนนี้?
กระนั้น ยังคงมีข่าวลือบางส่วนซึ่งกำลังยืนหยัดปรากฏตัวออกมาบอกเล่าเกี่ยวเรื่อง สี ตกลงจากอำนาจ ทั้งๆ ที่ในทางเป็นจริงแล้ว มันไม่มีเครื่องบ่งชี้ใดๆ เลยว่าเรื่องเป็นเช่นนั้น หากแต่กลับเป็นตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ ชื่อของเขายังคงปรากฏเป็นข่าวอยู่ทุกๆ วัน เป็นเครื่องเตือนความจำที่กระจ่างชัดแจ้งถึงอิทธิพลบารมีของเขา
พรรคคอมมิวนิสต์จีนอาจจะกำลังเตรียมการเพื่อจัดตั้งองค์กรหน่วยงานรัฐบาลแห่งใหม่ๆ ขึ้นมา แต่มันยังไม่มีเครื่องบ่งชี้ใดๆ ว่าองค์กรหน่วยงานใหม่เหล่านี้ ซึ่งพวกเรายังแทบไม่ทราบรายละเอียดกันนั้น จะควบคุมจำกัดอำนาจของ สี เอาไว้ด้วยวิธีการที่มีความหมายความสำคัญใดๆ มันอาจจะเป็นตรงกันข้ามด้วยซ้ำ นั่นคือ องค์กรหน่วยงานเหล่านี้อาจคอยช่วยเหลือ สี ให้สามารถปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
องค์การเหล่านี้อาจช่วยเหลือในด้านการทำให้ขั้นตอนกระบวนวิธีต่างๆ เป็นระบบและมีการจัดระเบียบกันมากขึ้น เพื่อทำให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม องค์กรหน่วยงานเหล่านี้จะมีพวกผู้นำใหม่ๆ ซึ่งตัว สี เองเป็นผู้แต่งตั้งขึ้นมา และจะรายงานตรงต่อตัวเขา ดังนั้น เขาอาจจะเพิ่มชั้นใหม่ของพวกเจ้าหน้าที่ผู้จงรักภักดีขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อคอยรับมือจัดการกับหน้าที่การงานอื่นๆ ของพรรคและของรัฐ
การปรับเปลี่ยนองค์กรและตัวบุคคลแบบระบบราชการกันใหม่ทำนองนี้ ถือกันเรื่อยมาว่าเสมือนกับเป็นดาบสองคม กล่าวคือ ในด้านหนึ่ง มันสามารถทำให้ขั้นตอนแบบแผนกระบวนวิธีต่างๆ มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง มันเป็นการนำเอาความเข้มงวดอย่างใหม่เข้ามาเพิ่มเติมในระบบซึ่งก็แข็งทื่อขาดความคล่องแคล่วอยู่แล้ว ยังไม่มีความชัดเจนว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะออกมายังไง แต่มองกันโดยภาพรวม มันพิสูจน์ให้เห็นว่า สี ยังคงกำลังปรับแต่งรายละเอียดของระบบ –เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นถึงอำนาจที่มีอยู่อย่างมากมายกว้างขวางของเขา
การปฏิรูปต่างๆ เหล่านี้ ยังสาธิตให้เห็นด้วยว่าระบบต้องการการปรับตัวบางอย่างบางประการเหมือนกัน ถึงแม้มีการปฏิเสธอย่างเป็นทางการแล้วว่าไม่ยอมรับการปฏิรูปแบบประชาธิปไตย แต่การปฏิรูปบางอย่างก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ดี และคณะบริหารเวลานี้ไม่ใช่ว่าปฏิบัติงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่แล้ว ในประเทศจีนนั้น มันอาจจะเป็นเวลาที่จะต้องขบคิดอะไรบางอย่างด้วยความห้าวหาญมากขึ้น ทว่าโลกดูจะยังไม่พรักพร้อมสักเท่าใดสำหรับเรื่องอย่างนี้
ฟรานเชสโก ซิสซี เป็นนักวิเคราะห์ชาวอิตาลี และเป็นคอมเมนเตเตอร์เรื่องการเมือง ซึ่งมีประสบการณ์ในจีนและเอเชียมากกว่า 30 ปี เขาเคยเป็นผู้สื่อข่าวประจำจีนและคอลัมนิสต์ของเอเชียไทมส์ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการของสถาบันแอปเปีย (Appia Institute) --สมาคมไม่แสวงหากำไรซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีการถกเถียงและสำรวจประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างประเทศ
ข้อเขียนชิ้นนี้ตอนแรกเริ่มปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของสถาบันแอปเปีย https://www.appiainstitute.org/articles/china/time-for-no-change-or-not/