แก๊งชายฉกรรจ์รูปพรรณแบบคนตะวันออกกลางราวสิบราย รุมทำร้ายสองสตรีผิวขาวคู่รักเลสเบียนในประเทศแคนาดา โดยช่วงแรก สาวหล่อนามว่า โทริ (ขวา) ถูกผลักล้มคาพื้นและถูกกลุ้มรุมชกๆๆ เตะๆๆ ศีรษะและตามร่างกายอย่างโหดร้าย แฟนสาวของเธอ คือ เอ็มมา (ซ้าย) โดดขึ้นหลังอันธพาลรายที่กำลังชกๆๆ โทริ แล้วล็อกคอมันเพื่อให้มันหยุด ทำมาทำไปเอ็มมาก็ถูกชกเสียเอง จมูกหัก เลือดทะลัก
เหตุร้ายแห่ง Hate Crime อาชญากรรมจากความเกลียดสตรีที่รักเพศเดียวกันครั้งนี้ อุบัติขึ้นกลางเมืองฮาลิแฟกซ์ เมืองเอกของรัฐโนวา สโกเชีย ในฝั่งตะวันออกของประเทศแคนาดา เมื่อวันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน 2024 เดือน Pride Month แห่งการเฉลิมฉลองความภาคภูมิใจในความเป็นมนุษย์ที่มีสิทธิเสมอภาคในอันที่จะรักคนเพศเดียวกัน ของชาว LGBTQ
โดยสามารถดูคลิปวิดีโอบันทึกเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ผู้ชายกว่า 10 ราย รุมทำร้ายผู้หญิง 2 คน ได้ที่ https://web.facebook.com/emma.maclean.376/videos/1576778429551830
เอ็มมา แมกลีน หนึ่งในสองเหยื่อซึ่งบาดเจ็บอย่างหนัก เล่าว่าเธอกับแฟนสาวซึ่งเธอเอ่ยถึงในชื่อว่า “โทริ” เดินอยู่ในถิ่นดาวน์ทาวน์ของเมืองฮาลิแฟกซ์ จะไปฉลองวันเกิดของเธอ แต่แล้วเย็นย่ำค่ำคืนแสนดี กลายเป็นความทรงจำแห่งฝันร้าย
สองหญิงเดินสวนกับกลุ่มชายฉกรรจ์ราว 10 รายซึ่งเห็นได้ว่าเป็นคนเชื้อสายตะวันออกกลาง และน่าจะมาจากประเทศซีเรีย สื่อยักษ์หลายค่ายรายงาน อาทิ ซีทีวี นิวส์ของแคนาดา เดลิเมลออนไลน์และเดอะซันของอังกฤษ ตลอดจนรายงานจากผู้เชี่ยวชาญ เจฟฟรีย์ คลูมป์ บล็อกเกอร์อเมริกันที่นำเสนอบน เมกเอนเตอร์ไพรส์บล็อก mekenterprisesblog.com
เหตุร้ายเริ่มขึ้นเมื่อหนึ่งในคนนิสัยป่าเถื่อนจิตใจนิยมความรุนแรงเหล่านี้ ปากไว พูดวิจารณ์ใส่ เอ็มมา แมกลีน ด้วยถ้อยคำหยาบคายคุกคามทางเพศ โทริ สาวหล่อจึงปกป้องแฟนทันที เดลิเมลออนไลน์รายงาน
“คนรักของดิฉัน พูดออกไปว่า ‘เฮ่ย นี่แฟนฉันนะ’
“พวกนั้นโกรธที่ถูกโทริพูดโต้ค่ะ แล้วก็เริ่มหมิ่นประมาทโทริ ด้วยคำเหยียดหยามคนรักเพศเดียวกันค่ะ”
เอ็มมาให้สัมภาษณ์ไปอย่างนั้นแก่ ซีทีวี นิวส์ สื่อใหญ่ในเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ ซีทีวี เทเลวิชัน เน็ตเวิร์ก ในแคนาดา บล็อกเกอร์แห่งเมกเอนเตอร์ไพรส รายงาน
แล้วเอ็มมาเล่าสืบไปว่า แม้จะทราบถึงความก้าวร้าวของพวกนั้น แต่โทริตัดสินใจจะเผชิญหน้า
“พวกนั้นออกเดินต่อ โทริตามไปต่อว่า ‘พูดขนาดนี้ไม่โอเคเลย’ ”
เท่านั้นเอง กลุ่มเกรียนจากตะวันออกกลางก็ลงมือฟาดโทริ ทั้งชก ทั้งเตะหวดเข้าใส่ เดอะซัน รายงาน และระบุด้วยว่า
จากภาพที่จับขึ้นมาจากวิดีโอ เห็นได้ว่าผู้หญิงที่ล้มอยู่บนพื้นถูกรุมชก
“ดิฉันเห็น โทริ ถูกผลักจนเสียหลักหงายหลังลงไปบนขั้นบันไดริมเส้นทางสัญจร เป็นบันไดซีเมนต์ด้วยค่ะ แผ่นหลังกระแทกลงไปจังๆ แล้วผู้ชายพวกนั้นรุมสกรัมเธอ ทั้งชก ทั้งเตะ” เอ็มมาเล่าด้วยน้ำเสียงที่ยังสยดสยองไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องอย่างนี้จะเกิดขึ้นกับเธอในบ้านเมืองของเธอ บล็อกเกอร์รายงานอย่างนั้น
เอ็มมาบอกว่า ในตอนแรก เธอร้องตะโกนให้แก๊งจากตะวันออกกลางหยุดทำร้ายโทริ แต่ไม่มีใครสนใจ เอาแต่รุมชกรุมเตะทุบตีคนรักของเธอ
เธอจึงตัดสินใจเข้าไปช่วยโทริ
“รู้สึกว่าต้องตัดสินใจสู้หรือไม่ก็หนีแล้วล่ะค่ะ” เอ็มมาบอกอย่างนั้น
แล้วก็เล่าว่าเธอกระโดดเข้าใส่หลังของหนึ่งในเหล่าอันธพาล ล็อกคอมัน เพื่อพยายามจะรั้งให้มันหยุดทำร้ายแฟนของเธอ เดลิเมลออนไลน์รายงาน
ด้านบล็อกเกอร์เล่าเพิ่มว่า เอ็มมาซึ่งเป็นนักกีฬารักบี้ ได้รับบาดเจ็บหนัก
“ดิฉันถูกชกซ้ำๆ ถูกเตะซ้ำๆ เข้าที่ใบหน้า ซี่โครง ทั่วตัว แล้วหมัดหนึ่งพุ่งใส่จมูก เลือดทะลัก ตอนนั้นคิดแค่ว่าเหตุการณ์นี้ต้องยุติเสียที” เดอะซันรายงาน
ภาพในวิดีโอของผู้เห็นเหตุการณ์รายหนึ่งปรากฏออกมาว่า กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้รุมเตะผู้หญิงที่ฟุบอยู่บนพื้นในห้อมล้อมของพวกมัน และผู้หญิงอีกคนหนึ่งตะกายจะสลัดให้หลุดจากที่ถูกล็อกตัวในวงแขนของอันธพาล เดลิเมลออนไลน์รายงาน
พฤติกรรมป่าเถื่อนที่แก๊งชายตะวันออกกลางกลุ้มรุมทำร้ายผู้หญิงผิวขาวทั้งสอง เกิดขึ้นอย่างอุกอาจต่อหน้าผู้คนมากมาย โดยมีผู้เห็นเหตุการณ์หลายรายบันทึกวิดีโอไว้ และบางคนโทรศัพท์แจ้งเหตุรุนแรงน่าสยดสยองไปยังตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือ
ตอนที่รถสายตรวจไปถึงก็นับว่าช้าเกินไป คู่รักสองสาวเละไปทั้งตัวด้วยน้ำมือและฝีเท้าของแก๊งอันธพาลเชื้อสายตะวันออกกลาง ขณะที่บรรดาเหล่าร้ายได้หยุดปฏิบัติการลูกผู้ชายสายเกรียน และไม่อยู่พบหน้าตำรวจ โดยมีหนึ่งรายซึ่งอยู่รอเคลียร์ตำรวจ
เดอะซันรายงานข้อมูลที่เอ็มมา แมกลีน บอกว่าตำรวจได้พูดกับหนึ่งในผู้ร่วมรุมทำร้ายเธอและคนรักของเธอ
“ตำรวจบอกดิฉันว่า มีพวกนั้นรายหนึ่งรออยู่ในที่เกิดเหตุ เพื่อแจ้งหลักฐานแสดงตัวตน ผู้ชายคนนี้อ้างว่าดิฉันกับแฟนเป็นฝ่ายที่เข้าไปทำร้ายพวกเขา และตำรวจบอกว่าคนอื่นๆ ไม่ได้ให้ความร่วมมือที่จะมาแสดงหลักฐานระบุตัวตน”
ตำรวจแจ้งต่อซีทีวี นิวส์ ว่าตอนนี้อยู่ในขั้นตอนสืบสวนเหตุการณ์ และยังไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาต่อพวกที่ทำร้ายเอ็มมา แมกลีน และโทริ เดลิเมลออนไลน์รายงาน และรายงานถึงอาการของเหยื่อสาวทั้งคู่ด้วย
โดยเอ็มมาบอกว่า โทริแฟนของเธอมีบาดแผลบอบช้ำปูดบวมที่ศีรษะหลายแห่ง ตลอดจนรอยช้ำเขียวใต้ตา อีกทั้งยังมีบาดแผลฟกช้ำมากมายทั่วตัว ส่วนสำหรับเธอก็ย่ำแย่ทีเดียว ทั้งจมูกหักเลือดทะลัก ฟันบิ่น และบาดแผลช้ำบวมตามศีรษะและทั่วร่างกายเช่นกัน
อาการจมูกหักและบวมเป่งของเอ็มมาในเวลาที่เธอถึงมือแพทย์นั้น ดุเดือดถึงขนาดที่ทำให้เธอยังไม่สามารถได้รับการผ่าตัด เธอเล่าไว้กับ ซีทีวี นิวส์
ในเวลาต่อมา เอ็มมาโพสต์ขึ้นเฟซบุ๊กว่า พวกที่เข้าทำร้ายเธอและแฟน เป็น “ชาวตะวันออกกลาง ซึ่งเชื่อได้ว่ามาจากประเทศซีเรีย” จำนวนประมาณ “8 – 10+” โดยอยู่ในวัยตั้งแต่ 18-25 ปี
เธอให้รายละเอียดชัดเจนว่า “มีรายหนึ่งที่ดิฉันสามารถระบุได้อย่างเฉพาะเจาะจง คือ ผู้ชายที่ใส่เสื้อสีแดง และใส่อุปกรณ์วอล์กกิงบูทที่เท้า เป็นคนนี้ที่เริ่มพูดเหยียดหยามดิฉันในเชิงลามก”
แม้เวลาผ่านไปหลายวัน แต่เอ็มมายังเสียขวัญอยู่เลย บล็อกเกอร์อเมริกันแห่งเมกเอนเตอร์ไพรสเล่าโดยนำโพสต์ของเอ็มมาบนเฟซบุ๊กมาถ่ายทอดว่า
“ดิฉันไม่กล้าไปดาวน์ทาวน์ในฮาลิแฟกซ์แล้วค่ะ รู้สึกว่าอันตรายสามารถเกิดขึ้นแบบที่เกินกว่าจะควบคุมป้องกันได้
“ดิฉันไม่คาดคิดเลยว่าสิ่งอย่างนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง โดยเฉพาะอย่างนิ่ง ในเดือนที่เรารวมพลังฉลองไพร้ดมันท์กัน”
เอ็มมาได้รับภาพและวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ที่แก๊งเกรียนตะวันออกกลางนี้ กลุ้มรุมทำร้ายเธอกับแฟนสาว และเธอนำไปโพสต์บนเฟซบุ๊ก Emma MacLean พร้อมกับร้องขอว่า
“ท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติม หรือได้รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง หรือมีคลิปที่บันทึกเหตุการณ์ไว้ ดิฉันจะขอบคุณอย่างที่สุด หากท่านจะกรุณาแชร์มาค่ะ”
ผู้คนเดือดดาลกันสุดๆ กับท่าทีของตำรวจต่อพฤติกรรมป่าเถื่อนของแก๊งตะวันออกกลาง & ประณามแถมไปถึงรัฐบาลฝ่ายซ้ายของจัสติน ทรูโด ที่มีนโยบายดึงดูดผู้อพยพที่มีพวกเกลียดชาวรักร่วมเพศปนมาด้วย
ความเหิมเกริมและป่าเถื่อนของแก๊งชายฉกรรจ์เชื้อสายตะวันออกกลาง ซึ่งรุมทำร้ายสองหญิงแคนาเดี้ยน คู่รักเลสเบียน บนพื้นที่สาธารณะ มากมายด้วยผู้คนสัญจร แถมยังมีเรื่องน่าฉงนว่าทำไมตำรวจจึงมารยาทงามนัก ปล่อยตัวสมาชิกแก๊งเหล่าร้ายไปโดยไม่ตั้งข้อหา นั้น ทำให้กระแสโกรธแค้นร้อนฉ่าขึ้นภายในชุมชนคนแคนาเดียน
ผู้เชี่ยวชาญผู้เป็นบล็อกเกอร์อเมริกันรายงานว่า ชาวเมืองพากันแสดงความโกรธและไม่เชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ จนอื้ออึงสนั่นโซเชียลมีเดีย ใครต่อใครมากมายแห่ไปแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์ของเอ็มมาบนเฟซบุ๊ก
เจฟฟรีย์ คลูมป์ บล็อกเกอร์ในเมกเอนเตอร์ไพรสบล็อก รายงานสภาพการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของตำรวจฮาลิแฟกซ์ว่า
ขณะที่เอ็มมากับโทริ ตลอดจนผู้ที่สนับสนุนพวกเธอจำนวนมากมาย ยังต้องรอคอยความเป็นธรรมจากตำรวจฮาลิแฟกซ์นั้น ความรู้สึกถึงการถูกทรยศและความไม่ไว้วางใจในเจ้าหน้าที่ของภาครัฐ ได้ทวีตัวขึ้น ภายในบริบททางการเมืองที่รัฐบาลฝ่ายซ้ายของจัสติน ทรูโด เต็มใจจะทอดทิ้งชุมชนชาว LGBTQ+ เพื่อความแน่นอนว่าจะสามารถเดินหน้ากับแผนปฏิบัติการเปิดพรมแดนรับผู้อพยพ
เจฟฟรีย์ชี้ด้วยว่า รัฐบาลเลือกที่จะให้ความสำคัญแก่การเปิดรับผู้อพยพ ซึ่งปะปนไปด้วยบุคคลที่ต่อต้านชาวรักร่วมเพศ และบุคคลที่ต่อต้านผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม มากกว่าที่จะให้ความสำคัญแก่ความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพลเมืองแคนาดา”
ทั้งนี้ บรรดาคอมเมนต์ที่หลั่งไหลไปยังเฟซบุ๊กของเอ็มมา ส่วนใหญ่จะตั้งคำถามว่าทำไมสื่อมวลชนไม่สนใจรายงานข่าวความรุนแรงอันอัปลักษณ์นี้ ที่กลุ่มชายตะวันออกกลางรุมทำร้ายหญิงสาวคู่รักเลสเบียนผิวขาว ผู้คอมเมนต์รายหนึ่งเขียนว่า
“ถ้าความรุนแรงนี้เกิดขึ้นแบบตรงกันข้าม เช่น ชายผิวขาวรุมทำร้ายสตรีมุสลิม มันจะเป็นข่าวครึกโครม และเป็นข่าวอาชญากรรมจากความเกลียดชังขึ้นมาแน่นอน เรื่องนี้ทำให้เลือดเดือดขึ้นมาจริงๆ”
ผู้คอมเมนต์อีกรายหนึ่งวิจารณ์การทำงานของตำรวจว่า “พวกตำรวจไม่ทำอะไรเลย พากันเงียบกริบ บอกเลยนะว่าการกระทำของแก๊งตะวันออกกลางพวกนี้ เป็นอาชญากรรมแห่งอคติและความเกลียดชังซึ่งร้ายแรง เรื่องนี้เป็นอะไรที่จะแช่มช้าไม่ได้ และต้องจัดการเดี๋ยวนี้
นอกจากนั้นยังมีผู้เห็นเหตุการณ์เขียนบอกเอ็มมาว่า ตัวเธอกับแฟนหนุ่มเห็นเหตุการณ์ และได้ไปให้ข้อมูลกับตำรวจฮาลิแฟกซ์ พร้อมกับแจ้งไว้ว่ายินดีอย่างยิ่งที่จะไปให้ปากคำในกระบวนการสอบสวน แต่ที่ผ่านมาตำรวจไม่เคยติดต่อไปหาเธอและแฟนเลย
ในเวลาเดียวกัน ก็มีคอมเมนต์แนวให้กำลังท่วมท้นเฟซบุ๊กของเอ็มมา
“สงสารเธอทั้งสองนะที่ต้องเจอเรื่องนี้ ขอส่งพลังแห่งการเยียวยาไปให้เยอะๆ เลย และหวังว่าเรื่องราวของเธอจะไปถึงสาธารณชน และขอให้ตามตัวพวกนั้นมาได้สำเร็จ”
แคนาดาเป็นประเทศที่เดินนโยบายดึงดูดผู้ที่ต้องการโยกย้ายถิ่นฐานและผู้อพยพลี้ภัยจากประเทศต่างๆ เข้าไปในฐานะผู้พำนักอาศัยถาวรที่ไม่ใช่พลเมือง แต่ได้สิทธิ์พักอาศัยได้โดยไม่จำกัดระยะเวลา โดยรัฐบาลแคนาดาตั้งเป้าหมายจะให้ช่วยหนุนสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ นโยบายนี้ดำเนินมาช้านานแล้ว กระทั่งว่าในการทำสำมะโนประชากร ปี 2021 พบว่า 23% ของประชากรในแคนาดาเป็นผู้ย้ายถิ่นฐานและผู้อพยพลี้ภัย ซึ่งก็คือ 8.3 ล้านราย
เฉพาะในปีดังกล่าว ก็ปรากฏตัวเลขว่าแคนาดารับผู้ย้ายถิ่นฐานและผู้อพยพลี้ภัยเข้าไปจำนวนมหาศาลถึง 405,000 ราย อันเป็นอะไรที่สอดคล้องกับแผนดำเนินงานของนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ที่ประกาศจะรับเข้าไปขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจให้ได้ปีละ 500,000 ราย ภายในศักราช 2025
อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปีนี้ (2024) มีการปรับยุทธศาสตร์เล็กน้อย โดยรัฐบาลของจัสติน ทรูโด ประกาศว่ามีปัญหาด้านความขาดแคลนที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับคนโยกย้ายถิ่นฐานและผู้อพยพ ดังนั้น จึงกำหนดใหม่ว่า จะลดโควตาการรับรายใหม่ที่จะมาเป็นผู้พำนักอาศัยชั่วคราว (แรงงานต่างชาติ นักศึกษาต่างชาติ และผู้ขอลี้ภัย) ลงประมาณ 20% เป็นเวลา 3 ปี (2025-2027)
คนย้ายถิ่นฐานและผู้อพยพลี้ภัยจากประเทศต่างๆ จะได้ตั้งหลักปักฐานในเมืองใหญ่ๆ ที่มีประชากรหนาแน่น
ในการนี้ แคนาดารับผู้อพยพลี้ภัยเป็นจำนวนมหาศาล คิดเป็นกว่า 10% ของยอดรวมทั้งโลก โดยในปี 2018 รับเข้าไปมากกว่า 28,000 ราย โดยในปีที่แล้ว (2023) ยอดรวมงบประมาณด้านที่อยู่อาศัยและอาหารที่มอบฟรีแก่ผู้อพยพอยู่ที่ 769 ล้านดอลลาร์
รายงานของ UNHCR แถลงว่าผู้อพยพลี้ภัยเข้าสู่แคนาดามียอดรวมนับจากปี 1980 มหาศาลมากกว่า 1 ล้านราย มีทั้งจำพวกที่เป็นแรงงานไร้ฝีมือและแรงงานฝีมือ ตลอดจนจำพวกที่เป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งล้วนแต่ช่วยขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของแคนาดา
จุดที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ ผู้ลี้ภัยที่แคนาดารับไว้เป็นแรงงานฝีมือมีสัดส่วนมากกว่า 50% โดย 20% เป็น แพทย์ ทันตแพทย์ สถาปนิก วิศวกรซอฟต์แวร์ และนักบริหารในธุรกิจบริการ ขณะที่ผู้อพยพกึ่งฝีมือซึ่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และมีประสบการณ์การทำงานมาระดับหนึ่ง อาทิ พนักงานขับรถบรรทุก พนักงานเสิร์ฟ คนแล่เนื้อ มีสัดส่วน 33%
ด้วยนโยบายระดับรัฐบาลกลางที่จริงจังขนาดนี้ และด้วยผลดีทางเศรษฐกิจอย่างล้นหลาม อาจเป็นสาเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเชิงนโยบาย ด้วยการเกียร์ว่างไปก่อน รอให้คนลืมๆ ในขณะเดียวกัน ผู้คนชาวแคนาดาอาจถูกความกลัวทำให้ยิ่งอ่อนแอสิโรราบต่อความกล้าใช้ความรุนแรง ซึ่งเป็นอันตรายในระยะยาว
คอลัมน์ PLANET No.3
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา: ซีทีวี นิวส์ เมกเอนเตอร์ไพรสบล็อก เดลิเมลออนไลน์ เดอะซัน)