สถานะของดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินสำรองของโลก น่าจะคงอยู่ต่อไป แม้ถูกคุกคามจากการผงาดขึ้นมาของจีน และการเติบโตของคริปโตเคอร์เรนซี หรือสกุลเงินดิจิทัล จากคำอวดอ้างของเจ้าหน้าที่รายหนึ่งของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันพฤหัสบดี (15 ก.พ.)
คริสเตอร์เฟอร์ วัลเลอร์ หนึ่งในคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวระหว่างแถลงข่าวในบาฮามาส ระบุดอลลาร์จะยังคงเป็นสกุลเงินที่ถูกใช้อย่างกว้างขวางที่สุดในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ และอยู่ในลำดับสูงสุดในบรรดาธนบัตรที่ถือครองโดยพวกนักลงทุนต่างประเทศ ในฐานะตัวรักษามูลค่า
"ตามมาตรวัดมาตรฐานของการใช้สกุลเงินระหว่างประเทศหนึ่งๆ ไม่พบเห็นรอยสึกกร่อนที่สังเกตได้ใดๆ ในการครองโลกของดอลลาร์ ในช่วง 1 ทศวรรษที่ผ่านมา" เขากล่าว "อย่างไรก็ตาม หากมองไปข้างหน้ามีความเป็นไปได้ที่สถานะระหว่างประเทศของดอลลาร์จะถูกท้าทาย และสถานการณ์บางอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีความเป็นไปได้ที่จะช่วยส่งเสริมการใช้สกุลเงินอื่นๆ ในระดับนานาชาติ"
วัลเลอร์ อ้างอิงถึงความเสี่ยงต่างๆ ในนั้นรวมถึงการโผล่ขึ้นมาของคริปโตเคอร์เรนซี ความโดดเด่นมากขึ้นเรื่อยของยูโรในฐานะสกุลเงินระหว่างประเทศ เช่นเดียวกับความพยายามของจีนในการส่งเสริมการใช้สกุลเงินหยวนในระดับนานาชาติ และผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานรัสเซีย ที่แบ่งแยกเศรษฐกิจโลกเป็น 2 ขั้ว
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดทั้งมวลนี้ วัลเลอร์เชื่อว่าดอลลาร์จะคงครองบัลลังก์หมายเลข 1 ต่อไป "ความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับดอลลาร์ ในฐานะหนทางเคลื่อนย้ายเงินเข้าและออกจากสกุลเงินดิจิทัล นั่นหมายความว่าสินทรัพย์คริปโตฯ ก็คือการเทรดในรูปแบบดอลลาร์โดยพฤตินัย"
ขณะเดียวกัน วัลเลอร์ มองว่าสกุลเงินยูโรยังคงไร้ชีวิตชีวาเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แม้มันเป็นสกุลเงินระหว่งประเทศที่ถูกใช้มากที่สุดอันดับ 2 ของโลก พร้อมบอกต่อว่าเงินหยวนของจีนยังคงถูกเหนี่ยวรั้งไว้จากการที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้อย่างเสรีและระดับความเชื่อมั่นค่อนข้างต่ำของนักลงทุนที่มีต่อสถาบันต่างๆ ของจีน
วัลเลอร์ บอกด้วยว่าภัยคุกคามต่อดอลลาร์ จากการแยกตัวทางภูมิเศรษฐศาสตร์มากขึ้นเรื่อยๆ ของเศรษฐกิจโลก จนถึงตอนนี้ยังคงล้มเหลวในการสกัดความดึงดูดใจของดอลลาร์
"แม้มีการจัดส่วนใหม่ในกระแสการค้าในประเทศต่างๆ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว กระแสการค้าเหล่านี้ยังคงชำระหนี้ส่วนใหญ่ด้วยสกุลเงินดอลลาร์" เขากล่าว "ผมไม่คาดหมายว่าจะพบเห็นดอลลาร์สหรัฐสูญเสียสถานะสกุลเงินสำรองของโลกในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่แม้กระทั่งจะพบเห็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญใดๆ ในความเป็นอันดับหนึ่งในด้านการค้าและการเงิน"
(ที่มา : เอเอฟพี)