ทำเนียบขาวประกาศในวันจันทร์ (29 ม.ค.) จะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อปกป้องกองกำลังอเมริกัน หลังทหารเสียชีวิต 3 นายจากการถูกโจมตีด้วยโดรนในค่ายที่จอร์แดน ขณะเดียวกันกาตาร์แสดงความหวังว่า การตอบโต้ของวอชิงตันจะไม่กระทบต่อความมั่นคงในตะวันออกกลางและความคืบหน้าในการผลักดันข้อตกลงปล่อยตัวประกันอิสราเอล
การโจมตีค่ายทหารอเมริกันในจอร์แดน ใกล้ๆ ชายแดนอิรักและซีเรียเมื่อวันอาทิตย์ (28) ที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อว่าเป็นฝีมือกลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ถือเป็นครั้งแรกที่มีทหารอเมริกันเสียชีวิตนับจากสงครามอิสราเอล-ฮามาสปะทุขึ้นในกาซาเมื่อต้นเดือนตุลาคมปีที่แล้ว และยังตอกย้ำให้เห็นถึงสถานการณ์ตึงเครียดที่กำลังลุกลามในตะวันออกกลาง
ในวันจันทร์ (29) จอห์น เคอร์บี้ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว ระบุว่า อเมริกาไม่ได้ต้องการให้สงครามลุกลามโดยมีอิหร่านเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็จะทำทุกอย่างที่ต้องทำเพื่อปกป้องกองกำลังอเมริกัน
อิหร่านนั้นยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการโจมตีในจอร์แดน ขณะที่เมื่อวันอาทิตย์ (28) ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สั่งการให้ตอบโต้กลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากเตหะราน แต่ยังไม่ได้สั่งให้โจมตีอิหร่านโดยตรง
ถัดมาอีกวัน ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ แถลงว่า ไบเดนและตนจะไม่ยอมให้มีการโจมตีกองกำลังอเมริกัน และจะดำเนินการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อปกป้องประเทศและทหาร
ด้านนายกรัฐมนตรี ชัยค์ โมฮัมเหม็ด บิน อับดุลรามาน บิน จัสซิม อัล ทานี ของกาตาร์ เปิดเผยกับกลุ่มคลังสมองในวอชิงตันว่า เขาหวังว่า การตอบโต้ของสหรัฐฯ จะไม่บั่นทอนความคืบหน้าในการเจรจาปล่อยตัวประกันครั้งใหม่ และสำทับว่า การดำเนินการดังกล่าวของอเมริกาจะส่งผลอย่างชัดเจนต่อความมั่นคงในตะวันออกกลาง ซึ่งกาตาร์หวังว่า สถานการณ์จะยังคงอยู่ในความควบคุม
วันเดียวกันนั้น แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวถึงการหารือระหว่างวิลเลียม เบิร์นส์ ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) กับผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองมอสสาดของอิสราเอล และผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองอียิปต์ที่ปารีสเมื่อวันอาทิตย์ว่า ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะมีการฟื้นการเจรจาหยุดยิงที่กาตาร์เคยเป็นตัวกลางและนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงนาน 1 สัปดาห์เมื่อเดือนพฤศจิกายน ซึ่งระหว่างนั้นฮามาสได้ปล่อยตัวประกันราว 100 คน
อย่างไรก็ตาม ฮามาสออกมาย้ำเมื่อวันจันทร์ว่า จะยอมปล่อยตัวประกันต่อเมื่ออิสราเอลยุติการรุกรานและถอนทหารออกจากกาซาเท่านั้น ขณะที่อิสราเอลตอบโต้ว่า จะรบต่อจนกว่าจะทำลายฮามาสให้สิ้นซาก
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขกาซาที่ปกครองโดยฮามาสเผยเมื่อวันอังคาร (30 ม.ค.) ว่า การโจมตีของอิสราเอลในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 215 คน ซึ่ง 20 คนในจำนวนนี้เป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน และบาดเจ็บ 300 คน รวมแล้วมีผู้เสียชีวิตนับจากสงครามกาซาปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 26,637 คน และบาดเจ็บอย่างน้อย 65,000 คน
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า กองกำลังภาคพื้นดินของอิสราเอลที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยรถถังพุ่งเป้าโจมตีเมืองข่านยูนิส ที่เป็นเมืองใหญ่สุดทางตอนใต้ของฉนวนกาซา และเป็นบ้านเกิดของยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำฮามาส โดยทหารอิสราเอลได้บุกเข้าไปในสำนักงานและที่มั่นทางทหารของซินวาร์ รวมทั้งจึดที่อ้างว่าเป็นสถานที่ผลิตจรวดขนาดใหญ่
ในวันจันทร์อิสราเอลยังโจมตีกาซาซิตี้ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในกาซา ทั้งทางอากาศ ภาคพื้นดิน และทางทะเล ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
ด้านฮามาสเผยว่า ในวันเดียวกันนั้นได้ระดมยิงจรวดชุดใหญ่เข้าไปในอิสราเอลเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ ตอกย้ำว่า นักรบปาเลสไตน์กลุ่มนี้ยังสามารถเปิดฉากโจมตีได้แม้สู้รบมานานเกือบ 4 เดือน
ต่อมาในวันอังคาร(30) กองทัพอิสราเอลได้ส่งหน่วยคอมมานโดนอกเครื่องแบบกว่าสิบนายเข้าไปในโรงพยาบาลไอบีเอ็นซีนาในเมืองเจนิน ในเขตยึดครองเวสต์แบงก์ โดยบางคนปลอมตัวเป็นผู้หญิงและสวมชุดคลุมอิสลาม และบางคนปลอมตัวเป็นบุคลากรทางการแพทย์ โดยระบุว่าสามารถสังหารนักรบปาเลสไตน์ 3 คน
กองทัพอิสราเอลแถลงว่า 1 ในนักรบที่ถูกสังหาร ติดต่อกับกองบัญชาการฮามาสต่างแดนและวางแผนโจมตีใหญ่แบบเดียวกับเมื่อวันที่ 7 ต.ค. เร็วๆ นี้ ส่วนอีก 2 คนเคยก่อการโจมตีเมื่อเร็วๆนี้ คำแถลงบอกว่า เหตุการณ์นี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการที่ฮามาสใช้สถานที่สำหรับพลเรือนและโรงพยาบาลเป็นที่หลบซ่อน และใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์
(ที่มา: รอยเตอร์, เอเอฟพี)