ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เผชิญแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนักหน่วงในวันจันทร์ (29 ม.ค.) ให้แก้แค้นอิหร่าน ต่อเหตุโดรนโจมตีสังหารกำลังพลสหรัฐฯ ในจอร์แดน นับเป็นความท้าทายครั้งสำคัญของผู้นำจากพรรคเดโมแครตรายนี้ ในขวบปีที่จะมีการเลือกตั้ง
การโจมตีอิหร่านจะโหมกระพือสถานการณ์ให้ลุกลามบานปลาย เสี่ยงกลายเป็นสงครามในวงกว้าง สิ่งที่ไบเดนบอกมาตลอดว่าเขาพยายามหลีกเลี่ยง อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากรีพับลิกันให้ผู้นำวัย 81 ปีรายนี้โจมตีอิหร่านโดยตรง ไบเดน ไม่อาจแสดงออกถึงความอ่อนแอ ในขณะที่คะแนนนิยมของเขาอยู่ในระดับต่ำ ก่อนศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่เขาต้องรีแมตช์กับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
"เขาอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล รัฐบาลอยู่ในสถานการณ์มีแต่แพ้กับแพ้" โคลิน คลาร์ก ผู้อำนวยการวิจัยจากศุนย์ซูฟาน ในนิวยอร์ก บอกกับเอเอฟพี "ผมคิดว่าเขากำลังถูกกระหน่ำจากคนที่บอกว่าเขาอ่อนแอ และเขากำลังถูกกระหน่ำจากคนที่บอกว่าเขาทำเกินไป ดังนั้น คุณจะถูกสาปแช่งถ้าคุณทำ คุณจะถูกสาปแช่งถ้าไม่ทำ"
ทำเนียบขาวระบุในวันจันทร์ (29 ม.ค.) ว่า ไบเดน "กำลังชั่งน้ำหนักทางเลือกต่างๆ" สำหรับการให้คำตอบเกี่ยวกับผลสนองของเหตุโจมตีฐานทัพแห่งหนึ่งในจอร์แดน ที่สังหารกำลังพลสหรัฐฯ 3 นาย ถือเป็นการเสียชีวิตของบุคลากรอเมริกาครั้งแรก ในการกระทำที่เป็นปรปักษ์ต่างๆ นับตั้งแต่สงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคม
ตัวของไบเดนเอง บอกว่า "เราควรที่จะตอบโต้" ระหว่างปราศรัย ณ เวทีหาเสียงหนึ่งในเซาท์แคโรไลนาในวันอาทิตย์ (28 ม.ค.) แต่ทางอิหร่านปฏิเสธว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเหตุโจมตี ซึ่ง ไบเดน กล่าวโทษที่ไปพวกกลุ่มติดอาวุธทั้งหลายที่ได้รับการสนับสนุนจากเตหะราน
จอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าการตัดสินใจใดๆ ของไบเดน จะอยู่ภายใต้อิทธิพลของศึกเลือกตั้ง "เขาไม่ได้มองไปที่การคำนวณทางการเมือง ผลโพลหรือปฏิทินการเลือกตั้ง ในขณะที่เขาทำงานเพื่อปกป้องทหารของเราที่อยู่บนฝั่งและเรือของเราที่อยู่กลางทะเล และข้อบ่งชี้ใดๆ ที่ต่างจากนี้ถือเป็นการล่วงละเมิด"
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ได้กลายเป็นอาวุธทางการเมืองไปแล้วสำหรับรีพับลิกัน โดยเฉพาะทรัมป์ ซึ่งเขาหวังกลับคืนสู่ทำเนียบขาวอีกสมัยในศึกเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน และแก้แค้นสำหรับความพ่ายแพ้ของเขาที่มีต่อไบเดน ในปี 2020
ทรัมป์ ให้จำกัดความการเสียชีวิตของกำลังพลสหรัฐฯ ว่าเป็น "ผลลัพธ์จากความอ่อนแอและการยอมอ่อนข้อของไบเดน" โดยพุ่งเป้าไปที่ข้อตกลงหนึ่งที่รัฐบาลไบเดนทำกับอิหร่านเมื่อปีที่แล้ว ในการปล่อยผู้ต้องขังสหรัฐฯ แลกกับการปลดล็อกเงินทุนของอิหร่าน 6,000 ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังชี้ถึงข้อเท็จจริงที่ว่า เขาเคยสั่งการให้สหรัฐฯ เปิดปฏิบัติการโจมตีที่สังหารนายพลกาเซม โซเลมานี ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษคุดส์ แห่งกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน ในปี 2020 แม้อีกด้านหนึ่ง ทรัมป์ ยอมรับเช่นกันว่าเขาสั่งยกเลิกปฏิบัติการโจมตีอิหร่านใน 10 นาทีสุดท้าย ในอีกเหตุการณ์เมื่อปี 2019 ตอบโต้กรณีโดรนสหรัฐฯ ถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธจากภาคพื้นสู่อากาศของอิหร่าน เนื่องจากมันจะเข่นฆ่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก ซึ่งไม่สาสมกัน
สมาชิกรีพับลิกันอื่นๆ บอกกล่าวเช่นกันว่าพวกเขาจะใช้อิหร่านเป็นกรณีทดสอบความเข้มแข็งของไบเดน ก่อนถึงศึกเลือกตั้ง "ทั่วทั้งโลกกำลังจับตาดูสัญญาณต่างๆ ว่าประธานาธิบดีได้เตรียมการขั้นสุดท้ายแล้ว ในการแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของอเมริกา" มิตช์ แม็คคอนเนลล์ แกนนำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา จากรีพับลิกันกล่าว
ส่วน ลินด์เซย์ เกรแฮม สมาชิกรีพับลิกันระดับสูงในคณะกรรมาธิการด้านยุติธรรมของวุฒิสภา และแกนนำสายเหยี่ยว เรียกร้องให้ ไบเดน "โจมตีอิหร่านเดี๋ยวนี้ และโจมตีอิหร่านอย่างหนักหน่วง"
แรงกดดันที่ไบเดนต้องเผชิญกำลังทำให้เขาอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากกรโจมตีโดยตรงใดๆ ใส่ดินแดนของอิหร่าน จะทำให้สถานการณ์ลุกลามใหญ่โตมากๆ และแม้การกระทั่งการเล็งเป้าเล่นงานแบบเบามือกว่ากับบรรดากลุ่มตัวของเตหะราน ก็อาจโหมกระพือเปลวไฟแห่งความขัดแย้ง และอาจบั่นทอนความพยายามบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในกาซา
การเข้าพัวพันใดๆ จะบ่อนทำลายนโยบายของไบเดน เกี่ยวกับการดึงสหรัฐฯ ออกจากสงครามตลอดกาลในตะวันออกกลาง แม้ว่าก่อนหน้านี้การถอนตัวของสหรัฐฯ ออกจากอัฟกานิสถาน ภายใต้การดูแลของเขา กลับกลายเป็นการเปิดทางให้ตอลิบานเข้าควบคุมประเทศแห่งนี้ก็ตาม
(ที่มา : เอเอฟพี)