ญี่ปุ่นลงนามในข้อตกลงกับพันธมิตรสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดี (18 ม.ค.) สำหรับซื้อขีปนาวุธพิสัยไกล "โทมาฮอว์ก" 400 ลูก ขณะที่โตเกียวยกระดับแสนยานุภาพด้านการทหาร เพื่อไว้ตอบโต้ภัยคุกคามความมั่นคงในภูมิภาค
ท่ามกลางการเผชิญหน้ากับแผ่ขยายอิทธิพลทางทหารของจีนที่ทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเกาหลีเหนือ ทางรัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมเป็นเท่าตัว ให้เทียบเท่ากับมาตรฐานของนาโต ที่ 2% ของจีดีพี ภายในปี 2027
ทั้งนี้ ข้อตกลงขายขีปนาวุธโทมาฮอว์ก 2 รุ่น ซึ่งมีพิสัยทำการ 1,600 กิโลเมตร มูลค่าสูงสุด 2,350 ล้านดอลลาร์ ได้รับความเห็นชอบจากวอชิงตันไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีก่อน
"บทสรุปของมันคือการลงนามเริ่มการจัดซื้อขีปนาวุธโทมาฮอว์ก" เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมรายหนึ่งบอกกับผู้สื่อข่าวในวันพฤหัสบดี (18 ม.ค.) หลังจากข้อตกลงได้รับการลงนามในโตเกียว "ด้วยการดำเนินการผ่านงบประมาณกลาโหม เราจะเสริมศักยภาพการป้องกันตนเองอย่างครอบคลุม"
ญี่ปุ่นเห็นชอบงบประมาณกลาโหมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มูลค่า 56,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับปีงบประมาณปีหน้า เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน
โตเกียวมีรัฐธรรมนูญฉบับสันติภาพหลังสงคราม ซึ่งจำกัดบทบาทของกองกำลังป้องกันตนเอง แต่ครั้งที่พวกเขาดำเนินการปรับแก้นโยบายความมั่นคงและป้องกันตนเองสำคัญๆ เมื่อปีที่แล้ว โตเกียวได้วางกรอบอย่างชัดเจนรับมือกับภัยท้าทายที่มาจากจีน
ระหว่างแถลงข่าวก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน ราห์ม เอ็มมานูเอล เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ กล่าวยกย่องญี่ปุ่น ต่อความพยายามผลักดันด้านกลาโหมดังกล่าวของรัฐบาลโตเกียว "ในขณะที่พวกผู้รุกรานเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ และชวนทะเลาะหนักหน่วงขึ้น ญี่ปุ่นอยู่ในแถวหน้าของประเทศต่างๆ ที่ต้องรวมตัวกันเพื่อปกป้องสันติภาพและความรุ่งเรือง โดยการเพิ่มต้นทุนด้านการป้องกันตนเอง"
เมื่อเดือนที่แล้ว รัฐบาลโตเกียวผ่อนปรนการควบคุมการส่งออกอาวุธเพื่อจะสามารถขยายขีปนาวุธแพทริออตที่ผลิตในประเทศให้แก่สหรัฐฯ ซึ่งกำลังพยายามเติมอาวุธเข้าคลังหลังจากส่งยุทโธปกรณ์จำนวนมากไปยังยูเครน
(ที่มา : เอเอฟพี)
