ปฏิบัติการโจมตีที่นำโดยสหรัฐฯ ที่กล่าวอ้างว่าเล็งเป้าเล่นงานฐานที่มั่นต่างๆ ของกลุ่มติดอาวุธฮูตีในเยเมน ประสบความล้มเหลวในการก่อความอ่อนแอใดๆ ในศักยภาพด้านหารทหารของฮูตี หรือขัดขวางนักรบกลุ่มนี้จากการโจมตีเส้นทางเดินเรือในทะเลแดงในอนาคต ตามรายงานของนิวยอร์กไทม์ส อ้างอิงแหล่งข่าวหลายแหล่งในวันเสาร์ (13 ม.ค.)
นิวยอร์กไทม์ส อ้างการประเมินแรกต่อการระดมโจมตีเมื่อวันศุกร์ (12 ม.ค.) ระบุว่าการโจมตีโดนเป้าหมายต่างๆ ที่กำหนดไว้ในระดับถึง 90% อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 2 คน ยอมรับว่าแม้การโจมตีสามารถทำลายหรือก่อความเสียหายแก่โดรนมากกว่า 60 ลำ และที่ตั้งขีปนาวุธหลายแห่ง แต่ศักยภาพด้านการทหารของพวกฮูตี ยังคงเหลืออยู่ในระดับราว 70-80%
ทั้งนี้ ในรายงานดังกล่าวระบุเพิ่มเติมว่าสินทรัพย์บางส่วนของพวกนักรบสามารถเคลื่อนที่ได้เช่นกัน นั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถนำมันไปซ่อนถ้ามีความจำเป็น นอกจากนี้ นิวยอร์กไทม์สเน้นย้ำด้วยว่า ที่ตั้งเป้าหมายต่างๆ ของพวกฮูตีนั้น ทำให้ปฏิบัติการโจมตีนั้นทำได้ยากลำบากกว่าที่คาดหมาย เนื่องจากความพยายามของตะวันตกเพิ่งเป็นรูปแบบร่างขึ้นมา หลังจากความขัดแย้งระหว่างฮามาสกับอิสราเอลเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคม
กบฏฮูตี ซึ่งควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเยเมน ได้แสดงจุดยืนสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ฮามาสและประชาชนในฉนวนกาซา ด้วยการโจมตีทั้งเป้าหมายอิสราเอล และเรือต่างๆ ที่พวกเขาเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับอิสราเอล ในภูมิภาคแถบนี้ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ให้สัมภาษณ์กับนิวยอร์กไทม์ส บ่งชี้ว่าวอชิงตันอาจเปิดฉากโจมตีถล่มเป้าหมายฮูตีอีกระลอก หลังจากวิเคราะห์ความเสียหายจากปฏิบัติการโจมตีเมื่อเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ แหล่งข่าวของนิวยอร์กไทม์ส ยังเน้นด้วยว่า แม้พวกนักรบยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบโต้ใดๆ ต่อการโจมตีของตะวันตก แต่พวกเขากำลังเตรียมพร้อมรับมือกับการแก้แค้นของพวกฮูตี
สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรดำเนินการในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "การโจมตีป้องกันตนเอง" เล่นงานพวกกบฏฮูตีในเยเมน ในช่วงเช้าของวันศุกร์ (12 ม.ค.) ภายใต้การสนับสนุนของออสเตรเลีย บาห์เรน แคนาดา และเนเธอร์แลนด์ โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศว่าปฏิบัติการดังกล่าวประสบความสำเร็จ และกล่าวหากลุ่มติดอาวุธฮูตี ว่า "เป็นอันตรายต่อเสรีภาพการเดินเรือ"
อ้างอิงรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ ปฏิบัติการโจมตีที่นำโดยสหรัฐฯ เรียกปฏิกิริยาตอบสนองที่แตกต่างกันออกไปในอียู กลุ่มก้อนที่สมาชิกหลายชาติอยากใช้นโยบายแห่งความสงบมากกว่าเกี่ยวกับวิกฤตด้านความมั่นคงในตะวันออกกลาง ขณะที่รัสเซียตำหนิการโจมตีดังกล่าวว่า "ไม่ชอบด้วยกฎหมาย" พร้อมเน้นว่ามันเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติอย่าง
มาเรีย ชาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย บ่งชี้ด้วยว่า สถานการณ์ล่าสุดเสี่ยงเป็นอุปสรรคขัดขวางกระบวนการปรองดองในเยเมน และโหมกระพือภาวะไร้เสถียรภาพทั่วตะวันออกกลาง
(ที่มา : นิวยอร์กไทม์ส/อาร์ทีนิวส์)