ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ในวันศุกร์(8ธ.ค.) บอกกับเหล่าทหารที่ผ่านการสู้รบในสงครามยูเครน ว่าเขาจะลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีอีกครั้งในศึกเลือกตั้งปี 2024 ความเคลื่อนไหวที่จะเปิดทางให้อดีตสายลับเคจีบีรายนี้ อยู่ในอำนาจต่อไปอย่างน้อยๆจนถึงปี 2030
ก่อนหน้านี้ ปูติน วัย 71 ปี ซึ่งสานต่อเก้าอี้ประธานาธิบดีจาก บอริส เยลต์ซิน ในวันสุดท้ายของปี 1999 ก็ถือเป็นประธานาธิบดีที่อยู่ในอำนาจ นานกว่าผู้นำคนไหนๆของรัสเซียอยู่ก่อนแล้ว นับตั้งแต่หมดยุค โจเซฟ สลาติน เหนือกว่าแม้กระทั่ง เลโอนิด เบรจเนฟ ที่ครองเก้าอี้ยาวนาน 18 ปี
คำประกาศครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจาก ปูติน มอบเหรียญเกียรติยศขั้นสูงสุดของกองทัพรัสเซีย Hero of Russia gold star แก่บรรดาทหารผ่านศึกยูเครน ระหว่างนั้นพันโทอาร์ทยอม โซกา ซึ่งเกิดในยูเครนยุคสมัยยังเป็นสหภาพโซเวียต ที่ร่วมรู้รบเพื่อรัสเซีย ได้ร้องขอให้ประธานาธิบดีรายนี้ลงสู้ศึกเลือกตั้งอีกสมัย
"ผมจะไม่ปิดบัง ว่าผมมีความคิดต่างกันในแต่ละช่วงเวลา แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจแล้ว" ปูตินบอกกับโซกาและทหารที่ได้รับเหรียญคนอื่นๆ "ผมตระหนักดีว่าไม่มีหนทางอื่น ผมจะลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี"
โซกา บอกกับพวกผู้สื่อข่าวหลังจากนั้น ว่าเขารู้สึกยินดีมากที่ ปูติน ตอบรับคำร้องขอ พร้อมระบุชาวรัสเซียทุกคนจะสนับสนุนการตัดสินใจนี้
สำหรับ ปูติน การเลือกตั้งเป็นแค่เรื่องพิธีการ ด้วยแรงสนับสนุนจากภาครัฐ สื่อมวลชนแห่งรัฐและแทบไม่มีกระแสต่อต้านจากสาธารณะ จึงเป็นที่แน่นอนว่าเขาจะเป็นผู้ชนะ ขณะเดียวกันก็แทบมองไม่เห็นว่าใครจะก้าวมาเป็นผู้สืบสอดผู้นำรายนี้
พวกนักการเมืองฝ่ายค้านให้คำจำกัดความการเลือกตั้งว่าเป็นความน่าอับอายทางประชาธิปไตย มีผู้สมัครจำนวนหนึ่งที่จะถูกส่งลงชิงชัยกับปูตินและพ่ายแพ้เป็นเรื่องปกติ ในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยเป็นปลอมๆ ที่มีการจัดฉากอย่างระมัดระวัง
ปฏิบัติการปราบปรามฝ่ายเห็นต่างและพวกนักวิจารณ์มานานนับปี ได้รับแรงเสริมจากกฎหมายใหม่ต่อต้าน "ข่าวปลอม" และ "ทำลายความน่าเชื่อถือของกองทัพ" พบเห็นพวกนักวิจารณ์หลายคนถูกจำคุกหรือไม่ก็ต้องหลบหนีออกไปยังต่างแดน จนแทบไม่เหลือที่ว่างสำหรับผู้เห็นต่าง
อย่างไรก็ตามบรรดาผู้สนับสนุนของปูติน ปฏิเสธการวิเคราะห์ดังกล่าว โดยชี้ว่าโพลอิสระบางส่วนเผยให้เห็นว่า ปูติน มีคะแนนนิยมสูงกว่า 80% พวกเขาบอกว่า ปูติน ช่วยคืนความสงบเรียบร้อยและกอบกู้อิทธิพลบางอย่างที่รัสเซียสูญเสียไป ตอนเกิดความโกลาหลวุ่นวายครั้งที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย
แม้ ปูติน อาจไม่เผชิญกับคู่แข่งจริงๆจังๆในศึกเลือกตั้ง แต่เขาต้องเจอกับความท้าทายต่างๆนานาร้ายแรงที่สุดที่ประมุขวังเครมลินคนหนึ่งคนใดต้องเผชิญ นับตั้งแต่ มิคาอิล กอร์บาชอฟ ต้องดิ้นรนต่อสู้กับการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเมื่อกว่า 3 ทศวรรษก่อน
สงครามยูเครน โหมกระพือการเผชิญหน้าครั้งใหญ่กับตะวันตก นับตั้งแต่วิกฤตขีปนาวุธคิวบาปี 1962 มาตรการคว่ำบาตรของตะวันตกก่อคลื่นความช็อคจากภายนอกครั้งใหญ่ที่สุดแก่เศรษฐกิจรัสเซียในรอบหลายทศวรรษ และ ปูติน ต้องเผชิญกับการก่อกบฏแต่ล้มเหลว โดย เยฟกินี ปรีโกจิน ผู้นำกลุ่มวากเนอร์ กลุ่มทหารรับจ้างทรงอิทธิพลสุดของรัสเซีย ในเดือนมิถุนายน
ตะวันตกให้คำจำกัดความ ปูติน ว่าเป็นอาชญากรสงครามและจอมเผด็จการ ซึ่งนำรัสเซียเข้าสู่การบุกยึดดินแดนในรูปแบบจักรวรรดินิยมในยูเครน ที่สร้างความอ่อนแอแก่มอสโกเองและเสริมความเป็นรัฐแก่ยูเครน พร้อมกับสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันแก่ตะวันตก ขณะเดียวกันก็ยังมอบภารกิจหนึ่งๆให้แก่พันธมิตรนาโต้อีกครั้ง
ในส่วนของ ปูติน นำเสนอสงครามนี้ในฐานะการต่อสู้ในขอบเขตที่กว้างขวางกว่านั้น เป็นการต่อสู้เพื่อระเบียบโลกใหม่กับสหรัฐฯ ซึ่งพวกนักการเมืองและนักธุรกิจทรงอิทธิพลของเครมลิน ชี้ว่าอเมริกามีเป้าหมายฉีกรัสเซียเป็นชิ้นๆ ยึดทรัพยากรทางธรรมชาติที่มากมายมหาศาลของพวกเขา และจากนั้นก็จะหันไปชำระแค้นจีน
แม้ ปูติน ล้มเหลวในเดิมพันคว้าชัยชนะในระยะสั้นๆในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 แต่ทางตะวันตกก็ล้มเหลวในการทำตามเป้าหมายที่พวกเขาเน้นย้ำกับสาธารณะเช่นกัน นั่นคือเอาชนะรัสเซียในสนามรบ ขับไล่ทหารรัสเซียออกจากยูเครนและโหมกระพือเสียงต่อต้านปูติน
ชายฉกรรจ์ชาวรัสเซียและยูเครนหลายแสนคนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บในสงคราม แต่ไม่มีฝ่ายไหนเผยแพร่ยอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ
ปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ของยูเครนในปีนี้ ประสบความล้มเหลวไม่สามารถรุกคืบอย่างมีนัยสำคัญใดๆ โดยที่รัสเซียยังคงควบคุมดินแดนของยูเครนราวๆ 17.5%
ในมอสโก ปูติน แสดงความพึงพอใจต่อความล้มเหลวของมาตรการคว่ำบาตรของตะวันตก แม้บรรดาผู้นำตะวันตกบอกว่าได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรหนักหน่วงที่สุดเท่าที่เคยมีมา เล่นงานเศรษฐกิจของรัสเซีย
รัสเซียคาดว่าเศรษฐกิจมูลค่า 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯของพวกเขา จะขยายตัวอย่างรวดเร็วในปีนี้ มากกว่ายูโซนและสหรัฐฯ ขณะที่ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลกแห่งนี้ สามารถขายน้ำมันของพวกเขาไปทั่วโลก
(ที่มา:รอยเตอร์)