ที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกลุ่ม จี7 ของชาติตะวันตกที่ร่ำรวย ออกคำแถลงแสดงจุดยืนเดียวกันกับสหรัฐฯ ในเรื่องสงครามกาซา-อิสราเอล นั่นคือเรียกร้องแค่การหยุดพักเพื่อมนุษยธรรม ทว่าไม่เอ่ยถึงการหยุดยิง อีกทั้งย้ำสิทธิป้องกันตนเองของอิสราเอลภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุเด็กในกาซาสังเวยชีวิตในสงครามครั้งนี้เฉลี่ยวันละ 160 คน ขณะที่สำนักงานสื่อมวลชนของฮามาสบอกสุสานหลายแห่งในกาซาไม่มีที่ฝังศพแล้ว
ในวันพุธ (8 พ.ย.) กองทัพอิสราเอลยังคงถล่มโจมตีใส่ฉนวนกาซาอย่างหนักหน่วงต่อไป ขณะที่ระบุว่ากำลังภาคพื้นดินของตนซึ่งโอบล้อมเมืองกาซาซิตี้ เมืองใหญ่ที่สุดในดินแดนเล็กๆ แห่งนี้ และเป็นที่มั่นหลักของกลุ่มฮามาส เอาไว้อย่างแน่นหนา กำลังบุกเข้าสู่พื้นที่ใจกลางเมืองต่อไป โดยที่ฝ่ายฮามาสอ้างว่าพวกนักรบของตนสามารถสร้างความเสียหายหนักให้แก่ผู้รุกราน
กองทัพอิสราเอลบอกด้วยว่า จากการโจมตีรวม 2 ระลอก ได้สังหาร มาห์เซน อาบู ซีนา ผู้นำฝ่ายสรรพาวุธของฮามาส และนักรบที่ทำหน้าที่ต่อต้านรถถังหรือการยิงจรวดจากพื้นสู่พื้นของฮามาส
แต่ยังไม่มีการเปิดเผยจากอิสราเอลเกี่ยวกับชะตากรรมของยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำอาวุโสที่สุดของฮามาสในกาซา ที่เชื่อว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการวางแผนโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครั้งนี้ โดยเมื่อวันอังคาร (7 พ.ย.) อิสราเอลระบุว่า ซินวาร์ถูกล้อมอยู่ในบังเกอร์
พล.ร.ต.แดเนียล ฮาการี หัวหน้าโฆษกกองทัพอิสราเอล เผยว่า ทหารช่างใช้ระเบิดทำลายเครือข่ายอุโมงค์ของฮามาสที่มีระยะทางนับร้อยกิโลเมตรใต้กาซา
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวในกลุ่มฮามาสและกลุ่มอิสลามิกญิฮาด ซึ่งเป็นพันธมิตรของฮามาส บอกว่า รถถังของอิสราเอลเผชิญการต่อต้านอย่างหนักจากฮามาสที่ใช้อุโมงค์ทำสงครามจรยุทธ์ โดยที่กองทัพยิวแถลงว่า มีทหารเสียชีวิต 32 คน
โยอาฟ กัลแลนต์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล ประกาศว่า กาซาเป็นที่มั่นของผู้ก่อการร้ายใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการทำลายฮามาส และสำทับว่า ขณะนี้กองกำลังอิสราเอลเข้าถึงใจกลางกาซาซิตี้แล้ว
แต่ในอีกด้านหนึ่ง จากการเปิดเผยของกระทรวงสาธารณสุขกาซา ที่อยู่ใต้การควบคุมของฮามาส ระบุว่า การทิ้งระเบิดไม่หยุดหย่อนของอิสราเอล จนถึงวันพุธทำให้ชาวปาเลสไตน์ในกาซาเสียชีวิตกว่า 10,300 คน
กระนั้น การเรียกร้องให้หยุดยิงของนานาชาติยังคงถูกเพิกเฉย โดยนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ย้ำว่า อิสราเอลจะไม่หยุดยิงจนกว่าฮามาสจะปล่อยตัวประกันกว่า 240 คนที่จับไปตั้งแต่วันที่ 7 เดือนที่แล้ว ขณะที่ฮามาสยืนกรานเช่นเดียวกันว่า จะไม่หยุดยิงหากอิสราเอลยังไม่หยุดโจมตีกาซา
ด้านองค์การอนามัยโลกเผยว่า เด็กในกาซาสังเวยชีวิตในสงครามครั้งนี้เฉลี่ยวันละ 160 คน ขณะที่สำนักงานสื่อมวลชนของฮามาสโพสต์บนเทเลแกรมว่า สุสานหลายแห่งในกาซาไม่มีที่ฝังศพแล้ว และสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (โอซีเอชเอ) ระบุว่า โรงพยาบาลทั้ง 13 แห่งในกาซาที่ยังเปิดดำเนินการอยู่ได้รับคำสั่งจากอิสราเอลให้อพยพผู้ป่วยออกไป
ก่อนหน้านี้ เนทันยาฮูยืนยันว่า จะไม่อนุญาตให้ส่งเชื้อเพลิงเข้าไปในกาซาเด็ดขาด แต่อาจ “หยุดเชิงยุทธวิธี” เพื่อปล่อยตัวประกันและส่งความช่วยเหลือเข้าสู่กาซา รวมทั้งประกาศว่า อิสราเอลจะเข้าควบคุมความมั่นคงปลอดภัยทั้งหมดในกาซาหลังสงครามยุติ
อย่างไรก็ดี หลังจากอเมริกาออกมาคัดค้านที่อิสราเอลจะกลับเข้ายึดครองกาซาระยะยาว แต่มองว่า ปาเลสไตน์ควรเป็นผู้ตัดสินใจอนาคตของกาซา รอน เดอร์เมอร์ รัฐมนตรีกระทรวงกิจการยุทธศาสตร์ที่เป็นส่วนหนึ่งของคณะรัฐมนตรีสงครามของเนทันยาฮู ให้สัมภาษณ์บีบีซีว่า อิสราเอลจะไม่กลับเข้ายึดครองกาซา แต่จะดำเนินมาตรการความมั่นคงต่อสิ่งที่เห็นว่าเป็นภัยคุกคาม
ต่อมาในวันพุธ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เรียกร้องซ้ำระหว่างไปร่วมประชุมจี7 ที่โตเกียวไม่ให้อิสราเอลกลับเข้ายึดครองกาซา พร้อมระบุปัจจัยหลักเพื่อสร้างสันติภาพและความมั่นคงระยะยาว ซึ่งได้แก่การไม่บังคับให้ชาวปาเลสไตน์ย้ายถิ่นฐานออกจากกาซาไม่ว่าขณะนี้หรือหลังสงคราม ไม่ใช้กาซาเป็นที่มั่นสำหรับการก่อการร้ายหรือการโจมตีอื่นใด ไม่มีการกลับเข้ายึดครองกาซาหลังสงครามยุติ ไม่พยายามปิดกั้นหรือปิดล้อมกาซา หรือลดอาณาเขตกาซา
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศจี7 ออกแถลงการณ์สนับสนุนการหยุดและเส้นทางเพื่อมนุษยธรรม การปล่อยตัวประกัน แต่ไม่เรียกร้องให้หยุดยิง อีกทั้งยังย้ำสิทธิของอิสราเอลในการป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อป้องกันไม่ให้ฮามาสก่อเหตุโจมตีรุนแรงเหมือนที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1,400 คนในอิสราเอล
แถลงการณ์จี7 ยังเรียกร้องให้อิหร่านละเว้นการให้การสนับสนุนฮามาส หรือดำเนินการใดๆ ที่บ่อนทำลายเสถียรภาพตะวันออกกลาง ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนและกลุ่มอื่นๆ และการใช้อิทธิพลเหนือกลุ่มเหล่านั้นเพื่อปลุกเร้าให้สถานการณ์ในภูมิภาคตึงเครียดยิ่งขึ้น
(ที่มา : รอยเตอร์, เอเอฟพี)