ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ แสดงความเชื่อมั่นว่าอิสราเอลจะเคารพ “กฎของสงคราม” ในปฏิบัติการต่อต้านกลุ่มติดอาวุธฮามาส พร้อมย้ำว่าสหรัฐฯ ยังไม่จำเป็นต้องส่งทหารเข้าแทรกแซง ขณะเดียวกัน เชื่อว่าแนวทางการสร้าง 2 รัฐควบคู่เพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างยิวกับปาเลสไตน์ยังพอมีทางเป็นไปได้
ผู้นำสหรัฐฯ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ทางสถานีโทรทัศร์ซีบีเอส โดยระบุว่าแม้ตนจะเชื่อว่ากลุ่มฮามาสสมควร “ถูกกำจัดให้สิ้นซาก” แต่หนทางสู่การก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์ยังต้องมีอยู่ พร้อมเตือนว่าสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางกำลังทำให้สหรัฐฯ เสี่ยงเผชิญภัยก่อการร้ายเพิ่มขึ้น
“ผมเชื่อว่าอิสราเอลเข้าใจว่าชาวปาเลสไตน์ส่วนใหญ่ไม่ได้มีมุมมองเหมือนกับพวกฮามาสและฮิซบอลเลาะห์” ไบเดน กล่าว
ชาวอิสราเอลกว่า 1,300 คนถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมหลังจากที่กลุ่มติดอาวุธฮามาสฝ่าทำลายรั้วกั้นพรมแดนและบุกจู่โจมตอนใต้ของอิสราเอลแบบสายฟ้าแลบเมื่อเช้าวันที่ 7 ต.ค. และมีตัวประกันอย่างน้อย 155 คนถูกจับกลับเข้าไปยังฉนวนกาซา ตามข้อมูลจากองทัพอิสราเอลเมื่อวานนี้ (15 ต.ค.)
ฝ่ายอิสราเอลแก้แค้นด้วยการโจมตีทางอากาศใส่ฉนวนกาซาอย่างหนักหน่วงที่สุดเท่าที่เคยทำมา โดยกระทรวงสาธารณสุขกาซาระบุวานนี้ (15) ว่ามีชาวปาเลสไตน์ถูกสังหารไปแล้วอย่างน้อย 2,670 คน รวมถึงเด็กๆ 724 คน และยังมีประชาชนบาดเจ็บอีกกว่า 9,600 คน
ผู้นำสหรัฐฯ ชี้ว่า ปฏิบัติการโจมตีของทั้ง 2 ฝ่ายนั้น “มีความแตกต่างในขั้นพื้นฐาน”
“อิสราเอลกำลังไล่ล่ากลุ่มคนที่กระทำการป่าเถื่อนรุนแรงและสร้างความสูญเสียไม่ต่างจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวโดยพวกนาซี (Holocaust) ดังนั้น ผมเชื่อว่าอิสราเอลจำเป็นที่จะต้องตอบโต้ และจำเป็นต้องกวาดล้างพวกฮามาส” ไบเดน กล่าว พร้อมปรามาสกลุ่มฮามาสว่า“เป็นพวกขี้ขลาดตาขาวที่หลบอยู่หลังพลเรือน”
ผู้นำสหรัฐฯ ยังเชื่อว่าอิสราเอล “จะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้” เพื่อหลีกเลี่ยงการสังหารพลเรือนผู้บริสุทธิ์
ฉนวนกาซามีความยาว 25 ไมล์ และกว้างเพียง 5 ไมล์ แต่กลับมีชาวปาเลสไตน์อาศัยอยู่อย่างหนาแน่นถึง 2.3 ล้านคน ขณะที่กลุ่มฮามาสซึ่งกุมอำนาจบริหารในฉนวนกาซาถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำเป็นองค์กรก่อการร้าย
มาตรการปิดล้อมทางเศรษฐกิจที่อิสราเอลใช้กับฉนวนกาซาทำให้พลเรือนที่นั่นมีชีวิตอยู่อย่างลำบากแร้นแค้น และเวลานี้อิสราเอลยังตัดเส้นทางลำเลียงอาหาร เชื้อเพลิง ไฟฟ้า และน้ำเข้าไปยังดินแดนแห่งนี้
รัฐบาลอิสราเอลประกาศเตือนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (13) ให้พลเมืองกาซา 1.1 ล้านคนอพยพลงสู่ตอนใต้ภายใน 24 ชั่วโมงระหว่างที่ทหารอิสราเอลตรึงกำลังประชิดชายแดนกาซา ขณะที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ออกมาเตือนว่าคำสั่งอพยพประชาชนครั้งนี้จะก่อวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่ร้ายแรง
ไบเดน ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่อเมริกันได้เจรจากับทั้งอิสราเอลและอียิปต์เพื่อขอเปิดระเบียงมนุษยธรรม และจัดส่งความช่วยเหลือที่จำเป็นเข้าไปยังกาซา
“เรากำลังคุยกับเจ้าหน้าที่อียิปต์ด้วยว่า มีช่องทางที่จะลำเลียงผู้หญิงและเด็กๆ ออกมาได้หรือไม่ในเวลานี้” เขากล่าว
ผู้นำสหรัฐฯ ยังแสดงความมั่นอกมั่นใจว่าอิสราเอลจะปฏิบัติตามกฎของสงคราม
“ผมเชื่อว่าจะต้องมีช่องทางให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์ในกาซาสามารถเข้าถึงยารักษาโรค น้ำ และอาหารได้”
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงข้อมูลอัปเดตเมื่อวันอาทิตย์ (15) ว่ามีชาวอเมริกันถูกสังหารไปแล้วอย่างน้อย 30 คน และมีอีก 13 คนที่สูญหายไม่ทราบชะตากรรม
ไบเดน ระบุว่า ตนได้พูดคุยกับครอบครัวชาวอเมริกันที่สูญหายแล้ว และสหรัฐฯ “กำลังทำงานอย่างเต็มที่” เพื่อช่วยเหลือตัวประกันชาวอเมริกันออกมาให้ได้อย่างปลอดภัย
ไบเดน ได้ส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 หมู่ของสหรัฐฯ เข้าไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และสหรัฐฯ ยังมีทหารอีกราวๆ 900 นายประจำการอยู่ในซีเรียเพื่อปฏิบัติภารกิจต่อต้านก่อการร้ายมาตั้งแต่ปี 2015 แต่ ณ เวลานี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เชื่อว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องส่งทหารอเมริกันเข้าแทรกแซงความขัดแย้งครั้งใหม่ในตะวันออกกลาง
ขณะเดียวกัน ไบเดน ยอมรับว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางทำให้สหรัฐฯ เสี่ยงภัยคุกคามก่อการร้ายมากขึ้น และตนได้มีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จากกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันเหตุโจมตีที่อาจเกิดขึ้นบนแผ่นดินอเมริกา
“เราพยายามอย่างยิ่งเพื่อให้มั่นใจได้ว่า สถานการณ์แบบนั้นจะไม่เกิดขึ้น” ไบเดน กล่าว
ในส่วนของอิหร่าน ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่ายัง “ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน” ว่าเตหะรานรู้ล่วงหน้า หรือมีส่วนช่วยฮามาสวางแผนโจมตีอิสราเอล ขณะเดียวกัน ก็ฝากคำเตือนไปถึงกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนและอิหร่านว่า “อย่า” ได้ยื่นมือเข้าแทรกแซงสงครามครั้งนี้
ที่มา : CBS