องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เผยกองทัพอิสราเอลมีการแจ้งเตือนเมื่อกลางดึกวานนี้ (12 ต.ค.) ให้ชาวปาเลสไตน์ 1.1 ล้านคนในฉนวนกาซาอพยพลงสู่ทางตอนใต้ภายใน 24 ชั่วโมง ท่ามกลางความหวาดผวาว่านี่อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้น “ปฏิบัติการภาคพื้นดิน” เพื่อแก้แค้นที่กลุ่มติดอาวุธฮามาสโจมตีอิสราเอล
สเตฟาน ดูจาร์ริค โฆษกยูเอ็น แถลงที่นครนิวยอร์กว่า เจ้าหน้าที่ยูเอ็นในกาซา “ได้รับแจ้งผ่านผู้ประสานงานในกองทัพอิสราเอลว่า ให้ประชากรทั้งหมดที่อยู่เหนือเขตวาดีกาซา (Wadi Gaza) อพยพลงไปยังพื้นที่ตอนใต้ของกาซาภายใน 24 ชั่วโมง”
โฆษกยูเอ็นกล่าวเสริมว่า “นั่นหมายถึงประชากรราว 1.1 ล้านคน” หรือเกือบครึ่งหนึ่งของชาวปาเลสไตน์ 2.3 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในฉนวนกาซา
สำหรับพื้นที่ตอนเหนือของวาดีกาซานั้นรวมถึงเมืองกาซาซิตี้ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของฉนวนกาซาด้วย
ดูจาร์ริค ระบุด้วยว่า ยูเอ็น “มองว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอพยพประชากรจำนวนมหาศาลในเวลาจำกัดนี้ โดยไม่ให้เกิดผลกระทบรุนแรงด้านมนุษยธรรม”
กองทัพอิสราเอลยังไม่ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำเตือนนี้ ซึ่งมีขึ้นในขณะที่อิสราเอลส่งกองกำลังรถถังไปประชิดชายแดนกาซา และระดมโจมตีทางอากาศอย่างหนักหน่วง
กีลาด เออร์ดัน เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำยูเอ็น ชี้ว่า “ท่าทีตอบสนองของยูเอ็นต่อคำเตือนล่วงหน้าของอิสราเอลเป็นสิ่งที่น่าละอาย” และเตือนยูเอ็นว่าควรจะออกแถลงการณ์ประณามกลุ่มฮามาส และสนับสนุนสิทธิในการป้องกันตนเองของอิสราเอลมากกว่า
ซาลามา มารูฟ หัวหน้าสำนักงานสื่อมวลชนของฮามาส ระบุว่า การเตือนอพยพประชาชนครั้งนี้เป็นความพยายามของอิสราเอลที่จะ “เผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อหลอกลวง มีเจตนาสร้างความสับสนขึ้นในหมู่ประชาชน และบ่อนทำลายความเป็นเอกภาพภายในของเรา
“เราขอเรียกร้องให้พลเมืองของเราอย่าได้มีส่วนร่วมกับความพยายามเหล่านี้”
ปฏิบัติการจู่โจมแบบสายฟ้าแลบของกลุ่มฮามาสซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 7 ต.ค. ได้คร่าชีวิตชาวอิสราเอลไปไม่ต่ำกว่า 1,300 คน ซึ่งถือเป็นเหตุโจมตีพลเรือนครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อิสราเอล
รัฐบาลเทลอาวีฟตอบโต้ด้วยการสั่งปิดล้อมฉนวนกาซาแบบเบ็ดเสร็จ ตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดอาหาร และทิ้งระเบิดทำลายอาคารบ้านเรือนจนพังย่อยยับ โดยจนถึงตอนนี้ทางการกาซาระบุว่ามีชาวปาเลสไตน์ถูกสังหารไปแล้วไม่ต่ำกว่า 1,500 คน
โฆษกยูเอ็นระบุว่า คำสั่งของกองทัพอิสราเอลซึ่งถูกส่งถึงเจ้าหน้าที่ยูเอ็นในกาซาเมื่อก่อนเที่ยงคืนที่ผ่านมา มีผลครอบคลุมถึงบุคลากรของยูเอ็นทั้งหมด ตลอดจนผู้ที่อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงของยูเอ็น ซึ่งรวมถึงโรงเรียน ศูนย์สุขภาพ และคลินิกต่างๆ
ที่มา : รอยเตอร์
