ตะวันตกกำลังผลักโลกเข้าใกล้ความขัดแย้งระดับโลกอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จากการป้อนอาวุธหนักเท่าที่เคยมีมาแก่ยูเครน และสรรเสริญระบอบนาซี จากคำเตือนของ ดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย ที่โพสต์บนเทเลแกรมเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
เมดเวเดฟ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานสภาความมั่นคงของรัสเซีย โพสต์คำเตือนบนเทเลแกรม ในการแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อกรณีที่รถถังประจัญบาน M1 เอบรามส์ ที่ผลิตโดยสหรัฐฯ ถูกส่งถึงมือยูเครน และเรื่องอื้อฉาวที่พบเห็นในรัฐสภาแคนาดา นายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด และประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ลุกขึ้นปรบมือเชิดชูอดีตสมาชิกรายหนึ่งของกองทหารวัฟเฟิน-เอ็สเอ็ส ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในสงครามโลกครั้งที่ 2
อดีตประธานาธิบดีรัสเซียรายนี้ประณามการกระทำอื้อฉาวดังกล่าว ซึ่งโหมกระพือความเดือดดาลในโปแลนด์ รัสเซีย และประชาคมชาวยิวเช่นกัน โดยเรียกมันว่าเป็นการเสวนาสนิทสนมกับนาซี
"มันดูเหมือนว่า รัสเซียกำลังแทบไม่เหลือทางเลือกอื่นเลยนอกเหนือจากความขัดแย้งโดยตรงกับนาโต" เขากล่าวเน้นย้ำถึงรายงานข่าวที่ระบุว่าวอชิงตันเตรียมจัดหาระบบขีปนาวุธทางยุทธวิธีของกองทัพ (Army Tactical Missile System - ATACMS) ซึ่งเป็นขีปนาวุธพิสัยไกล ให้แก่เคียฟ
เมดเวเดฟ อ้างว่านาโตได้เปลี่ยนเป็นกลุ่มก้อนฟาสซิสต์อย่างเปิดเผย คล้ายคลึงกับฝ่ายอักษะของฮิตเลอร์ แต่มีขนาดใหญ่กว่า และบอกว่ารัสเซียพร้อมเผชิญหน้ากับพันธมิตรทหารแห่งนี้ถ้ามีความจำเป็น "ผลลัพธ์จะก่อความสูญเสียแก่มนุษยชาติหนักหน่วงกว่าปี 1945 มากมายหลายเท่า" เขากล่าวเตือน
รองประธานสภาความมั่นคงของรัสเซียรายนี้ ใช้จุดยืนแข็งกร้าวมาตลอดในด้านความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับตะวันตก ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างมอสโกกับเคียฟ โดยเมื่อเดือนกันยายน เขาแนะนำให้ระงับความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหภาพยุโรป (อียู) หลังอียูสนับสนุนมาตรการห้ามคนสัญชาติรัสเซีย นำรถยนต์ส่วนตัว หรือสมาร์ทโฟน เข้าไปยังดินแดนของพวกเขา โดยอ้างว่าเป็นไปได้ที่จะละเมิดมาตรการคว่ำบาตร
ก่อนหน้านี้ เขาเคยประณามบรรดาผู้สนับสนุนตะวันตกของเคียฟว่าเป็นพันธมิตรฝักใฝ่นาซี และส่งเสียงเตือนซ้ำๆ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างรัสเซียกับนาโต ทั้งนี้ มอสโกเตือนเช่นกันว่าการที่ตะวันตกเดินหน้าจัดหาอาวุธแก่ยูเครน จะเท่ากับว่าบรรดารัฐสมาชิกของนาโตมีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเสี่ยงโหมกระพือสงครามเต็มรูปแบบระหว่างรัสเซียกับกลุ่มก้อนพันธมิตรทหารที่นำโดยสหรัฐฯ
(ที่มา : อาร์ทีนิวส์)