“ไบเดน” เสร็จสิ้นการเยือนเวียดนามเป็นเวลา 2 วัน โดยปิดฉากด้วยการนำพวกผู้บริหารบริษัทไฮเทคอเมริกันยักษ์ใหญ่ที่รวมถึงกูเกิลและอินเทล ร่วมหารือกับเหล่าผู้นำธุรกิจเวียดนาม หลังจากสองประเทศตกลงยกระดับความร่วมมือและความสัมพันธ์ทางการทูตด้วยการลงนามใน “ความตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน” นอกจากนี้ประมุขสหรัฐฯ และผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามยังออกคำแถลงร่วมที่มีข้อความโจมตีปักกิ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านดินแดนในทะเลจีนใต้
ผู้บริหารอาวุโสจาก กูเกิล, อินเทล, แอมคอร์, มาร์เวลล์, โกลบัลฟาวน์ดรีส์ และโบอิ้ง ร่วมประชุมสุดยอดนวัตกรรมและการลงทุนเวียดนาม-อเมริกา ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงฮานอยในวันจันทร์ (11 ก.ย.) โดยที่ฝ่ายเวียดนามนั้นมีนักธุรกิจจากสิบกว่าบริษัทเข้าร่วมด้วย อาทิ วินฟาสต์ บริษัทผลิตรถไฟฟ้าที่จดทะเบียนในตลาดแนสแด็ก, เวียดนาม แอร์ไลนส์ และโมโม ผู้ให้บริการอี-วอลเล็ตรายใหญ่ที่สุดในประเทศในแง่จำนวนผู้ใช้
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ย้ำในการประชุมคราวนี้ว่า อเมริกาและเวียดนาม ได้กระชับความร่วมมือในด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง เซมิคอนดักเตอร์ และปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และสำทับว่า เวียดนามยังมีความสำคัญในการจัดหาแร่ธาตุสำคัญๆ
ทั้งนี้ เวียดนามมีแรร์เอิร์ธ ซึ่งเป็นแร่ธาตุหายากที่ใช้ในการผลิตรถไฟฟ้า กังหันลม และผลิตภัณฑ์อีกมากมาย มากที่สุดอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน
การประชุมคราวนี้มี แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และเหวียน จี๋ หวุง รัฐมนตรีการลงทุนของเวียดนาม เป็นประธานร่วมของการประชุม หลังจากนั้น ไบเดนได้ประชุมหารือกับนายกรัฐมนตรีฝ่าม มิญ จิ๊ญ
ด้านทำเนียบขาวได้เปิดเผยข้อตกลงที่บรรลุในเวียดนาม ซึ่งรวมถึงแผนการพัฒนาโซลูชันที่อิงกับ generative AI สำหรับเวียดนามและตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะ
เอ็นวิเดียจะร่วมกับเอฟพีที, วิตเทล และวินกรุ๊ปของเวียดนาม ในด้านเอไอในเวียดนาม
ทำเนียบขาวยังเปิดเผยโครงการลงทุนเกี่ยวกับชิปของบริษัทอเมริกันในเวียดนามซึ่งรวมถึงแผนการของมาร์เวลล์ และไซนอปซิสในการสร้างศูนย์ออกแบบชิปในเวียดนาม
ขณะเดียวกัน โรงงานประกอบและทดสอบชิปมูลค่า 1,600 ล้านดอลลาร์ของแอมคอร์จะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม
สำหรับอินเทลลงทุน 1,500 ล้านดอลลาร์ในโรงงานประกอบชิปทางใต้ของเวียดนาม ซึ่งจะเป็นโรงงานใหญ่ที่สุดในโลกของบริษัท
นอกจากนี้เวียดนาม แอร์ไลนส์จะซื้อเครื่องโบอิ้ง 737 แม็กซ์ 50 ลำ คิดเป็นมูลค่าราว 7,500 ล้านดอลลาร์
ฮันนี่เวลล์ กลุ่มกิจการของอเมริกา จะร่วมมือกับหุ้นส่วนเวียดนามริเริ่มโครงการนำร่องเพื่อพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่แห่งแรกในเวียดนาม
การประชุมนี้ที่มีขึ้นหลังจากเมื่อวันอาทิตย์ (10 ก.ย.) ซึ่ง ไบเดน ได้พบเจรจากับ เหวียน ฝู จ่อง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม และมีการลงนามในข้อตกลงที่ยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองขึ้นเป็น “ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน” (comprehensive strategic partnership) โดยที่ความสัมพันธ์ระดับนี้ทางเวียดนามถือเป็นความสัมพันธ์ทางการทูตชั้นสูงสุด ซึ่งที่ผ่านมาเวียดนามได้ทำกับรัสเซีย, จีน, อินเดีย, และเกาหลีใต้ เท่านั้น
การยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตครั้งประวัติศาสตร์เมื่อวันอาทิตย์ (10 ก.ย.) ตอกย้ำเจตนารมณ์ของอเมริกาในการเพิ่มบทบาทของเวียดนามในเวทีโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการผลิตชิป เนื่องจากวอชิงตันต้องการลดความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับจีน ซึ่งรวมถึงข้อพิพาททางการค้าและไต้หวัน
อนึ่ง เมื่อวันอาทิตย์ ไบเดนย้ำว่า ไม่ต้องการ “ปิดกั้น” จีน แต่กล่าวหาปักกิ่งต้องการเปลี่ยนแปลงกฎกติกาโลก นอกจากนี้ในคำแถลงร่วมระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับเหวียน ฝู จ่อง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ยังมีข้อความโจมตีจีนเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านดินแดนในทะเลจีนใต้
ไบเดนและเหวียนเตือนไม่ให้ข่มขู่หรือใช้กำลัง หลังจากไม่กี่วันก่อนเพิ่งเกิดเหตุการณ์ปะทะล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับเรือจีน และยืนยันว่า การกล่าวอ้างสิทธิ์ทับซ้อนกันในทะเลจีนใต้ของประเทศต่างๆ ต้องได้รับการแก้ไขภายใต้บรรทัดฐานสากล
ทั้งนี้ จีนอ้างสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้เกือบทั้งหมดซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งสินค้ามูลค่าปีละหลายล้านล้านดอลลาร์ และถูกหลายชาติเพื่อนบ้านตลอดจนฝ่ายตะวันตกนำโดยอเมริกาประณามว่าเพิกเฉยต่อคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศที่ระบุว่า การกล่าวอ้างของจีนไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เวียดนามเองก็มีปัญหากับจีนเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อพิพาทในทะเลจีนใต้
สื่อของทางการฮานอยรายงานเมื่อวันจันทร์โดยยกย่องข้อตกลงกับอเมริกาว่า เป็นข้อตกลงประวัติศาสตร์
ไบเดนปิดฉากการเยือนเวียดนามด้วยการเดินทางไปยังอนุสาวรีย์จอห์น แมคเคน อดีตวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ที่เคยเป็นนักบินและเครื่องบินถูกยิงตกในช่วงสงครามเวียดนาม
(ที่มา: รอยเตอร์, เอเอฟพี)