รัสเซียได้บรรลุเป้าหมายหลักในปฏิบัติการทางทหารในยูเครนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจากนี้เคียฟจะต่างออกไป พวกคนที่อยู่ในอำนาจจะระมัดระวังมากขึ้นไม่กล้าก้าวใส่มอสโกอีก จากความเห็นของ อเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก ประธานาธิบดีเบลารุส ในการให้สัมภาษณ์ที่ออกอากาศในวันพฤหัสบดี (17 ส.ค.)
"จนถึงวันนี้ เป้าหมายต่างๆ ของปฏิบัติการพิเศษด้านการทหารบรรลุแล้ว" ลูคาเชนโกบอกกับ เดียนา ปันเชนโก ผู้สื่อข่าวชาวยูเครน ระหว่างการให้สัมภาษณ์เป็นเวลา 2 ชั่วโมงและโพสต์บนยูทูบ "ยูเครนจะไม่มีวันก้าวร้าวใส่รัสเซีย หลังสงครามนี้สิ้นสุดลง อย่างเช่นที่เคยเป็นมาก่อน ยูเครนจะต่างออกไป ผู้คนอยู่ในอำนาจจะระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ฉลาดมากขึ้น และฉลาดหลักแหลมมากขึ้น"
ความคิดเห็นนี้ของลูคาเชนโก เป็นการตอบคำถามของ ปันเชนโก ที่ถามว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เคยบอกกล่าวหรือไม่ว่า เงื่อนไขใดที่มอสโกจะใช้พิจารณาว่าปฏิบัติการพิเศษด้านทหารของพวกเขาบรรลุเป้าหมายแล้ว "เราไม่เคยพูดคุยกันในเรื่องนี้" ลูคาเชนโก ตอบกลับ "แต่ผมสามารถบอกกับคุณได้ว่า จุดยืนของผมคืออะไร"
เบลารุสเป็นส่วนหนึ่งในรัฐสหภาพกับรัสเซีย และถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ กับพันธมิตรเกี่ยวกับความขัดแย้งยูเครน ในขณะที่ทหารเบลารุสไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในสงคราม แต่กองกำลังรัสเซียใช้ดินแดนของเบลารุส สำหรับประจำการทหารในเบื้องต้นประชิดชายแดนยูเครน
ในการกล่าวปราศรัยเมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน ลูคาเชนโก เน้นย้ำว่าความขัดแย้งไม่ใช่เพิ่งเริ่มต้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 หรือกระทั่งเหตุรัฐประหารที่สนับสนุนโดยสหรัฐฯ ในเคียฟปี 2014 แต่มันมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปฏิวัติสีส้มในยูเครนปี 2004
"ทุกๆ อย่างนำพามาถึงจุดนี้ บางทีความผิดพลาดเดียวที่เราก่อคือ เราไม่ได้คลี่คลายประเด็นปัญหานี้ในปี 2014-2015" เขากล่าว
ครั้งนั้น รัสเซียเลือกหนทางแห่การทูตภายใต้ข้อตกลงมินสก์ ซึ่งมีเยอรมนีและฝรั่งเศสเป็นคนกลาง อย่างไรก็ตาม อังเกลา แมร์เคิล และฟรังซัวส์ ออลลองด์ ผู้นำทั้ง 2 ชาติ ยอมรับเมื่อฤดูใบไม่ร่วงปีก่อน ว่า ข้อตกลงที่อ้างว่าเป็นโรดแมปเพื่อสันติภาพ เป็นเพียงอุบายซื้อเวลาให้เคียฟ ในการเสริมสร้างยกระดับกองทัพของตนเอง
(ที่มา : อาร์ทีนิวส์)