xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วยสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาใน ‘รัสเซีย’ จากการก่อกบฏของ ‘ปรีโกจิน’

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สตีเฟน ไบรเอน ***


กองกำลังกบฏของ เยฟเกนี ปรีโกจิน ในเมืองรอฟตอฟ-ออน-ดอน เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีรถถังคันหนึ่งประดับช่อดอกไม้ไว้ที่ปากกระบอกปืนใหญ่ (ภาพจาก Wikimedia Commons)
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

What didn’t happen in Russia
By STEPHEN BRYEN
27/06/2023

เหตุการณ์ความไม่สงบสืบเนื่องจากการก่อกบฏด้วยอาวุธของกองกำลังกลุ่มวากเนอร์ นำโดย เยฟเกนี ปรีโกจิน มีหลายๆ แง่มุมที่มองเห็นได้ถึงการคิดคดทรยศอันมืดมน ทว่ามันไม่ได้เกิดการลุกฮือครั้งใหญ่ในขอบเขตใหญ่โตกว้างขวางขึ้นมา ตลอดจนกลไกเครื่องมือด้านความมั่นคงของรัสเซียก็ไม่ได้เกิดการแตกร้าวอย่างเปิดเผยชัดเจน

ทุกๆ คนพากันพูดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในรัสเซีย แต่แทบไม่มีใครเลยซึ่งพูดเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นมาในรัสเซีย

เยฟเกนี ปรีโกจิน (Yevgeny Prigozhin) ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มวากเนอร์ (Wagner) รวบรวมกำลังพลได้ประมาณ 8,000 คน และยกทัพเข้าดินแดนรัสเซียในความเคลื่อนไหวที่เขาเรียกว่าเป็นการเดินทัพเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม เขามุ่งหน้าไปยังกรุงมอสโก จุดมุ่งหมายของ ปรีโกจิน ดูเหมือนต้องการที่จะบุกยึดกระทรวงกลาโหมรัสเซียในมอสโก ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาสามารถเข้ายึดครองกองบัญชาการระดับท้องถิ่นของกระทรวงกลาโหม ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองรอสตอฟ-ออน-ดอน (Rostov-on-Don) เอาไว้ได้อยู่แล้ว

เขาเรียกร้องให้ เซียร์เก ชอยกู (Sergei Shoigu) รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียคนปัจจุบัน และวาเลรี เก-ราซิมอฟ (Valery Gerasimov) ประธานคณะเสนาธิการทหารของกองทัพรัสเซียคนปัจจุบัน ลาออกจากตำแหน่งในทันที

อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว กองกำลังของเขาไม่ได้เคลื่อนไปจนถึงมอสโก ขบวนกองกำลังชาววากเนอร์ไม่กี่พันคนที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของ ดมิตริ อุตกิน (Dmitri Utkin) ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มนี้อีกคหนึ่ง ได้หยุดทัพที่บริเวณห่างจากมอสโกไปราวๆ 120 กิโลเมตร ตัว ปรีโกจิน เองยังคงอยู่ที่เมืองรอสตอฟ-ออน-ดอน ณ กองบัญชาการท้องถิ่นของกระทรวงกลาโหมดังกล่าว โดยตอนแรกพยายามโทรศัพท์ติดต่อกับ วลาดิมีร์ ปูติน ซึ่งปฏิเสธที่จะพูดกับเขา และจากนั้นก็พยายามติดต่อกับพวกเจ้าหน้าที่ระดับล่างๆ ลงมา

เมื่อพบว่าตนเองปราศจากความสนับสนุน กองกำลังเล็กๆ ของเขากำลังเผชิญกับการถูกกำจัดกวาดล้าง และครอบครัวของเขาก็ถูกคุกคาม ปรีโกจินจึงมองหาคนกลาง และเจอเข้าคนหนึ่ง คือ อเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก (Alexander Lukashenko) ประธานาธิบดีเบลารุส ที่เป็นพันธมิตรของปูติน

มีการทำความตกลงกันได้ โดยที่มี ปูติน วนเวียนคอยดูอยู่เบื้องหลัง ทั้งนี้ ปรีโกจิน และกำลังคน 8,000 คนที่เขานำมาด้วยจะเดินทางไปลี้ภัยในเบลารุส และข้อหาความผิดฐานทรยศกบฏชาติทั้งหลายจะถูกยกเลิก ในส่วนของกองทหารวากเนอร์ที่ยังเหลืออยู่ ซึ่งน่าจะมีจำนวนอยู่ในราวๆ 12,000 คน ได้รับข้อเสนอให้เซ็นสัญญากับกองทัพรัสเซีย หากพวกเขาไม่ปรารถนาจะทำเช่นนั้น พวกเขาก็สามารถเลือกเดินทางกลับบ้านได้ ตามรายงานหลายกระแส พวกเขาจำนวนมากจะยอมรับข้อตกลงนี้และกำลังลงชื่อทำสัญญากับกองทัพ

เพื่อเปิดฉากการปฏิบัติการของเขาในคราวนี้ ปรีโกจินมีการตระเตรียมดำเนินขั้นตอนต่างๆ จำนวนหนึ่งในช่วงราว 6 เดือนที่ผ่านมา ในจำนวนนี้ก็รวมถึงการปล่อยข้อกล่าวหาออกมาอย่างสม่ำเสมอและพิสูจน์ได้ว่าเป็นความเท็จ ว่าเขาไม่ได้รับเครื่องกระสุนมากเพียงพอสำหรับการสู้รบในเมืองบัคมุต พร้อมกันนั้น ปรีโกจิน ยังกล่าวหาอีกว่าทางคณะผู้นำของกองทัพมีพฤติการณ์ทุจริตคอร์รัปชัน ว่าพวกผู้นำกองทัพปฏิเสธไม่ยอมป้องกันด้านปีกให้แก่เขาระหว่างการปฏิบัติการที่บัคมุต และว่าพวกผู้นำกองทัพกำลังประสบความสูญเสียอย่างมหาศาลในสงครามยูเครน ข้อกล่าวหาเหล่านี้ไม่มีเรื่องใดเป็นความจริงเลย

ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทางคณะผู้นำของกองทัพรัสเซียเรียกร้องว่า ต้องนำเอากลุ่มวากเนอร์เข้ามาอยู่ในความควบคุมของพวกเขา และพวกเขาเรียกร้องสมาชิกวากเนอร์แต่ละคนโดยทั่วถ้วนทุกๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวปรีโกจิน ให้เซ็นสัญญากับกองบัญชาการทหารรัสเซีย ซึ่งเมื่อทำเช่นนั้นแล้วก็คือต้องทำตามคำสั่งของกองทัพรัสเซีย

ปรีโกจิน ปฏิเสธไม่ยินยอม จากนั้นเขาก็สร้างเหตุการณ์ขึ้นมาสองสามอย่าง เพื่อใช้เป็นข้ออ้างว่ากองกำลังของเขาถูกโจมตีทางด้านหลังจากกองทัพรัสเซีย เขาเผยแพร่คลิปวิดีโอ 2 คลิปที่ปลอมแปลงทำขึ้นให้กระจายออกไปตามสื่อสังคม เวลาเดียวกันนั้นก็เดินหน้าป่าวร้องวิพากษ์วิจารณ์สร้างภาพลักษณ์ของบุรุษหนึ่งเดียวผู้หาญกล้าต่อสู้ท้าทายคณะผู้นำกองทัพที่เน่าเฟะ

แล้วก็มีรายงานที่ไม่มีการยืนยันหลายชิ้นกระจายออกไปทั่วทั้งบนทวิตเตอร์ เทเลกราฟ (Telegraph) และซับสแทคส์ (Substacks) บอกว่ามันมีอะไรมากไปกว่านั่นอีก นั่นคือ ปรีโกจิน มีการติดต่อกับกรมข่าวกรองทหารของยูเครน (เป็นที่รู้จักกันในอักษรย่อว่า HUR MO) อย่างน้อยที่สุดก็ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา แหล่งข่าวบางรายบอกว่าเขากระทั่งบินไปยังแอฟริกา ที่ซึ่งมีกองกำลังวากเนอร์กำลังปฏิบัติการอยู่ เพื่อพบปะเจรจากับพวกเจ้าหน้าที่ข่าวกรองยูเครน

ทำนองเดียวกันมีรายงานหลายชิ้นระบุว่า เขายังมีการพูดคุยกับหน่วยกองกำลังพิเศษต่างๆ ภายในรัสเซียจำนวนหนึ่ง ขอให้พวกเขาเข้าร่วมมือกับตัวเขา

ผู้คนลืมกันไปแล้วว่า กลุ่มวากเนอร์นั้นเป็นผลผลิตของฝ่ายข่าวกรองทหารรัสเซีย หรือ GRU และขณะที่ตัว ปรีโกจิน เองไม่ได้มีภูมิหลังทางหทาร แต่ผู้ร่วมก่อตั้งอีกคนหนึ่ง คือ ดมิตริ อุตกิน (Dmitry Utkin) เป็นมือปฏิบัติการพิเศษของหน่วย GRU สเปียซสนาซ (GRU Spetsnaz )

พวกหน่วยสเปียซสนาซ หรือหน่วยปฏิบัติการพิเศษเช่นนี้ของรัสเซีย เกิดขึ้นมาอย่างน้อยที่สุดก็ตั้งแต่ปี 1949 บางทีอาจจะมีตั้งแต่ก่อนหน้านั้นอีก พวกเขาปฏิบัติการแบบปิดลับรูปแบบต่างๆ โดยปกติแล้วกระทำหลังแนวข้าศึก พวกเขาติดอาวุธด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์อันทันสมัยล่าสุด และเป็นที่สงสัยกันว่ามีศักยภาพถึงขนาดที่จะวางระเบิดนิวเคลียร์ลูกเล็กๆ ในบริเวณด้านหลังของพวกศัตรูของรัสเซียด้วยซ้ำไป

หน่วยสเปียซสนาซจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็รวมถึงบางหน่วยจาก FSB (หน่วยงานที่เป็นทายาทสืบต่อจาก KGB) ถูกระบุเอาไว้ทางอินเทอร์เน็ตว่าเป็นพวกโปรปรีโกจิน นี่หมายความว่าอาจเกิดการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกันในกองทัพ บางทีอาจจะเกิดขึ้นใน FSB ด้วย และเป็นไปได้ว่าไม่เพียงมุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงแทนที่คณะผู้นำทางทหารชุดปัจจุบันเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วมุ่งหมายที่จะสร้างความอับอายขายหน้าให้แก่ ปูติน และเปลี่ยนตัวผู้นำแทนปูติน

เป้าหมายสูงสุดต่างๆ ของ ปรีโกจิน อาจรวมอยู่ในข้อมูลข่าวสารที่กล่าวกันว่าเขาส่งให้แก่พวกคู่เจรจาที่มาจากฝ่ายข่าวกรองยูเครน รายงานเหล่านี้ ซึ่งก็ไม่ได้มีหลักฐานพิสูจน์หนักแน่นอะไรเช่นกัน บอกว่า ปรีโกจิน ยังให้คำมั่นกับฝ่ายยูเครนว่า เขาจะเปิดเผยให้ทราบว่าส่วนประกอบบุคลากรหลักๆ ของกองบัญชาการทหารหลักของรัสเซียนั้นตั้งอยู่ตรงไหนกันบ้าง ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะอาศัยฝ่ายยูเครนเข้าทำลายส่วนประกอบบุคลากรเหล่านั้น

ขณะที่เป็นไปไม่ได้ในจุดนี้ที่จะยืนยันใดๆ เกี่ยวกับสิ่งที่กล่าวมานี้ แต่มันก็ดูเหมือนน่าจะเป็นเรื่องที่ตัว ปรีโกจิน วาดหวังให้เกิดขึ้น เพื่อที่การเคลื่อนพลเดินทัพเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมของเขา จะได้รับการเติมเต็มอย่างคึกคักจากพวกผู้สนับสนุนระดับสูงจำนวนนับพันนับหมื่น ทั้งในฝ่ายตำรวจ กองทัพ และฝ่ายข่าวกรอง

เวลานี้ เราทราบกันแล้วว่าไม่ได้เกิดการลุกฮือใดๆ ขึ้นมา และก็ไม่มีใครเสนอตัวเข้าร่วมกับ ปรีโกจิน สำหรับการร้องขอที่กระทำอย่างปิดลับของเขา

จริงๆ แล้ว แม้กระทั่ง เซียร์เก ซูโรวิกิน (Sergei Surovikin) –รองผู้บัญชาการของ “การปฏิบัติพิเศษทางทหาร” ของรัสเซียในยูเครน ซึ่งเป็นผู้บัญชาการในการปฏิบัติการตัวจริงเสียงจริงของกองกำลังวากเนอร์ ถึงแม้โดยอำนาจหน้าที่ที่ระบุต่อภายนอกนั้นเขาจะเป็นเพียงที่ปรึกษาคนหนึ่ง— ก็ปฏิเสธไม่เอาด้วยกับปรีโกจิน หลังจากเขาถูกข่มขู่คุกคามจากผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มวากเนอร์ผู้นี้

ทั้งนี้ ซูโรวิกิน ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอซึ่งเขาบอกกับกองกำลังวากเนอร์ว่า อย่าได้เคลื่อนทัพ (จากยูเครน) เข้าไปในรัสเซีย หรือสู้รบกับฝ่ายรัสเซีย ในวิดีโอดังกล่าวมองเห็นตัวเขากำลังนั่งอยู่โดยที่มือขวากำปืนพกอัตโนมัติเอาไว้กระบอกหนึ่ง

การไม่ได้รับความสนับสนุน ไม่ได้หมายความว่า ปรีโกจิน ไม่ได้รับความยกย่องนับถือจากชาวรัสเซีย ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อตอนยกพลเข้าไปในเมืองรอสตอฟ-ออน-ดอน ปรีโกจิน ได้รับเสียงเชียร์ดังสนั่น บางทีน่าจะเป็นเพราะเขาถูกมองว่าเป็นฮีโร่แห่งเมืองบัคมุต

ซากเครื่องบินทหารลำหนึ่งของรัสเซีย ที่ถูกระบุว่าถูกนักรบรับจ้างกลุ่มวากเนอร์ยิงตก ระหว่างที่พวกเขาก่อการกบฏ ปรากฏอยู่ที่สนามแห่งหนึ่งใกล้ๆ เมืองบูกาเอฟกา แคว้นโวโรเนซ ของรัสเซีย เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา ภาพนี้ถ่ายจากคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ทางสื่อสังคม
แต่มีหลายๆ สิ่งเกี่ยวกับ ปรีโกจิน ที่กำลังเริ่มรั่วไหลออกมา ซึ่งจะสร้างความแปดเปื้อนให้แก่ภาพลักษณ์ของเขาในหมู่ประชาชน อย่างแรกเลย เขาบอกว่าไม่มีการเสียเลือดเนื้อใดๆ ในการเคลื่อนทัพเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมของเขา ปรากฏว่ากลายเป็นการโกหกอย่างโจ่งแจ้ง มีนักบินและลูกจ้างรวม 37 คนบนเฮลิคอปเตอร์หลายลำ และเครื่องบินขนส่งอีกลำหนึ่งของรัสเซีย ที่ถูกพวกวากเนอร์ยิงตก ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันว่ามีการเข่นฆ่าสังหารกัน

ขณะเดียวกัน ปรีโกจิน ไม่ใช่ว่าปลอดจากการทุจริตคอร์รัปชัน โดยเขาทำข้อตกลงแบบฟันกำไรสุดๆ เอาไว้หลายฉบับกับกองทัพรัสเซีย ซึ่งพวกบริษัทของ ปรีโกจิน จัดส่งข้าวของสัมภาระต่างๆ ให้ในราคาแพงเวอร์ ข้อตกลงเหล่านี้ถูกยกเลิกไปราวๆ 1 สัปดาห์ก่อนที่ ปรีโกจิน เริ่มต้นการยกทัพข้ามเข้าสู่ดินแดนรัสเซียของเขา

แต่ปัญหาที่แท้จริงสำหรับชื่อเสียงเกียรติคุณของเขาจะปะทุขึ้นมา จากรายงานข่าวเรื่องที่เขาติดต่ออย่างลับๆ กับฝ่ายข่าวกรองของยูเครน เรื่องที่เขาถูกกล่าวหาว่าได้เสนอขายตำแหน่งที่ตั้งศูนย์บังคับบัญชาของฝ่ายรัสเซีย และการที่เขายื่นข้อเสนอต่อรองเพื่อขอความสนับสนุน –ไม่ใช่จากยูเครนเท่าใดนัก แต่จากสหรัฐอเมริกา ไม่ควรมีใครรู้สึกเซอร์ไพรส์อะไรที่ได้ยินข่าวว่า ซีไอเอได้รับรายงานแบบเต็มๆ จากพวกหน่วยข่าวกรองยูเครน ซึ่งกำลังดิ้นรนต้องการเห็นคณะผู้นำรัสเซียถูกโค่นล้มมีการเปลี่ยนแปลง และนาโตเข้ามาช่วยเหลือกอบกู้ช่วยชีวิตพวกเขา

ตามรายงานที่ไม่ได้รับการยืนยันหลายกระแส ปรีโกจิน ยื่นข้อเสนอที่ฟังดูดีมากๆ โดยในการแลกเปลี่ยนกับความสนับสนุนจากภายนอกนั้น เขาจะเข้าปกครองรัสเซีย โดยกำหนดทิศทางเสียใหม่ให้มุ่งมายังฝ่ายตะวันตก และถอนตัวออกจากยูเครน ข้อเสนอเช่นนี้ ซึ่งออกมาในจังหวะเวลาที่สำคัญยิ่งยวดโดยเป็นขณะที่การรุกของฝ่ายยูเครนกำลังโซซัดโซเซ จึงถือเป็นข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธ

ปูตินตอนนี้เผชิญความท้าทายสำคัญที่จะต้องรับมือกับพวกไม่พอใจระบอบปกครองของเขาซึ่งออกมาคัดค้านเขา ขณะที่ไม่มีใครสักรายในผู้คนเหล่านี้เปิดหน้าก้าวออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แต่ดูมีความเป็นไปได้มากๆ ที่ FSB และ ปูติน นั้นทราบว่าใครกันบ้างที่ ปรีโกจิน ไปพูดจาด้วย พวกเขาจะต้องวินิจฉัยว่าปัจเจกบุคคลหรือองค์การเหล่านี้ใครบ้างที่ยังคงเชื่อถือได้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะต้องให้ฝ่ายความมั่นคงของรัสเซียเข้าไปจัดการ

ปูติน ยังต้องจัดการปราบปรามการก่อวินาศกรรมในเมืองใหญ่ๆ ของรัสเซียที่เกิดขึ้นมาอย่างกว้างขวาง สิ่งที่เกิดขึ้นมาเหล่านี้ไม่ใช่ว่าทุกๆ กรณีสามารถประณามว่าเป็นฝีมือของฝ่ายยูเครน ผู้กระทำจำนวนมากทีเดียวเป็นชาวรัสเซีย และจากร่องรอยต่างๆ ที่ปรากฏ บ่งบอกว่าพวกเขาเป็นมืออาชีพ – ถือเป็นความรับรู้ความเข้าใจซึ่งชี้อีกครั้งหนึ่งไปที่พวกซึ่งอยู่ในฐานะตำแหน่งที่จะสามารถจัดให้มีการโจมตีเช่นนี้ได้

นอกเหนือจากเรื่องก่อวินาศกรรมแล้ว ยังมีกรณีการลอบสังหารพวกผู้นำฝ่ายโปรปูติน คนสำคัญๆ ปูตินต้องตระหนักถึงความจริงแล้วในตอนนี้ว่าเขาก็มีชื่ออยู่ในบัญชีด้วย และความสนับสนุนให้ทำการโจมตีเหล่านี้ส่วนใหญ่ที่สุดน่าจะมาจากพวกแหล่งที่มาภายใน วันเวลาแห่งการกำจัดกวาดล้างภายในกันครั้งใหญ่น่าจะเกิดขึ้นมาในเร็วๆ นี้ ถ้าหากปูติน ปรารถนาที่จะอยู่รอดในฐานะผู้นำของรัสเซียต่อไป

ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับ ปรีโกจิน และกับผู้สมรู้ร่วมคิดกับเขาอย่าง อุตกิน ขณะที่กองกำลังวากเนอร์ยังคงเป็นเครื่องมือทรงอำนาจและมีประโยชน์อย่างหนึ่งสำหรับรัสเซีย แต่คณะผู้นำในปัจจุบันของกองกำลังนี้กลับกลายเป็นภาระใหญ่ไปเสียแล้ว

สิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นในรัสเซียก็คือ การลุกฮือครั้งใหญ่ในขอบเขตที่กว้างขวางใหญ่โต และการแตกร้าวอย่างชัดเจนของกลไกความมั่นคง กระนั้น สิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาในตอนนี้ ยังอาจที่จะเกิดขึ้นมาได้ในอนาคตข้างหน้า ยกเว้นแต่ ปูติน สามารถลงมือดำเนินการได้อย่างเด็ดขาด โดยที่เวลานี้ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเขาสามารถที่จะทำได้ไหม หรือว่าเขาจะทำหรือไม่

สตีเฟน ไบรเอน เป็นนักวิจัยอาวุโสอยู่ที่ Center for Security Policy และ Yorktown Institute ข้อเขียนเกี่ยวกับสถานการณ์ชิ้นนี้ เผยแพร่ทีแรกสุดอยู่ในบล็อก Substack, Weapons and Strategy ของผู้เขียน
กำลังโหลดความคิดเห็น