ประธานาธิบดี ซิโอมารา คาสโตร แห่งฮอนดูรัส ประกาศวานนี้ (14 มี.ค.) ว่าเธอได้มีคำสั่งให้รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเตรียมขอสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนอย่างเป็นทางการ ในความเคลื่อนไหวซึ่งจะทำให้ “ไต้หวัน” เหลือพันธมิตรทางการทูตลดน้อยลงไปอีก
คาสโตร เคยออกมาเปรยเรื่องการตัดสัมพันธ์ไต้หวันเพื่อหันไปคบจีนมาแล้วในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ก่อนจะพลิกลิ้นในเดือน ม.ค. ปี 2022 ว่ายังต้องการรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทเปเอาไว้อยู่
รัฐบาลปักกิ่งไม่ยินยอมให้ประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนคงความสัมพันธ์ระดับทางการกับไต้หวันไปพร้อมๆ กัน เนื่องจากถือว่าไต้หวันเป็นดินแดนในอธิปไตยจีน จึงไม่มีสิทธิสานสัมพันธ์แบบรัฐต่อรัฐกับประเทศอื่น
ทั้งนี้ หากเสียฮอนดูรัสไปอีกประเทศ จะทำให้ไต้หวันคงเหลือพันธมิตรทางการทูตทั่วโลกเพียง 13 ชาติเท่านั้น
โทมัส ซัมบราโน ส.ส.ฝ่ายค้านฮอนดูรัส ออกมาเตือนผ่านสื่อโทรทัศน์ท้องถิ่นว่า การหันไปคบจีนอาจกระทบความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของฮอนดูรัส อีกทั้งครอบครัวชาวฮอนดูรัสจำนวนมากยังต้องพึ่งรายได้ที่ญาติพี่น้องในสหรัฐฯ ส่งมาจุนเจือเลี้ยงดู
สหรัฐฯ เองแม้ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน แต่ให้การสนับสนุนไทเปในเวทีนานาชาติ และยังส่งขายอาวุธให้ด้วย ซึ่งทำให้เป็นประเด็นขัดแย้งกับจีนเรื่อยมา
เอดูอาร์โด เรนา รัฐมนตรีต่างประเทศฮอนดูรัส ระบุวานนี้ (14) ว่า “เราจำเป็นต้องมองสิ่งต่างๆ ในทางปฏิบัติจริง และทำในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อชาวฮอนดูรัสมากที่สุด”
ด้านกระทรวงการต่างประเทศไต้หวันได้ออกมาแสดงความกังวลต่อท่าทีของฮอนดูรัส พร้อมเตือนให้ “ทบทวนให้ดี” เพื่อไม่ให้ตกเข้าไปอยู่ใน “กับดักของจีน”
ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวในไต้หวันยอมรับว่ารัฐบาลไทเปจำเป็นจะต้อง “ทำทุกวิถีทาง” เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตกับฮอนดูรัสเอาไว้
เมื่อเดือน ธ.ค. ปี 2021 นิการากัวได้ประกาศตัดสัมพันธ์ไต้หวันเพื่อหันไปสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับปักกิ่ง และยังประกาศรับรองด้วยว่า “ไต้หวันคือส่วนหนึ่งของดินแดนจีนอันจะแบ่งแยกมิได้”
ที่มา : รอยเตอร์