เจ้าชายแฮร์รี ทรงยอมรับว่าได้สังหารชีวิตศัตรูไป 25 ราย ระหว่างปฏิบัติภารกิจในฐานะนักบินเฮลิคอปเตอร์อาปาเช ในอัฟกานิสถาน ตามรายงานของสื่อมวลชนอังกฤษในวันพฤหัสบดี (5 ม.ค.) โดยอ้างอิงหนังสือบันทึกความทรงจำที่มีกำหนดเผยแพร่เร็วๆ นี้
ดยุกแห่งซัสเซกซ์ พระชนมายุ 38 พรรษา ทรงเข้าประจำการปฏิบัติหน้าที่ต่อต้านตอลิบาน 2 ครั้ง โดยหนแรกในปี 2007-2008 ในฐานะผู้ควบคุมอากาศยานหน้า ทำหน้าที่ควบคุมในแนวหน้าประสานงานปฏิบัติการทางอากาศกับภาคพื้นดิน เพื่อให้อากาศยานทำลายเป้าหมายข้าศึกได้ถูกต้อง ส่วนครั้งที่ 2 ทรงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนักบินเฮลิคอปเตอร์โจมตีระหว่างปี 2012-2013
ในหนังสือบันทึกความทรงจำ SPARE พระองค์เล่าว่า ได้ปฏิภารกิจในฐานะนักบินรบ 6 ภารกิจ ภารกิจที่นำพาให้พระองค์ต้องเข่นฆ่าชีวิต ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เดลีเทเลกราฟ ทั้งนี้ เจ้าชายแฮร์รีบอกว่าไม่รู้สึกภูมิใจหรือละอายใจที่ต้องทำเช่นนั้น และให้คำจำกัดความการกำจัดเป้าหมายต่างๆ เหล่านั้นว่า เหมือนกับการกำจัดเบี้ยหมากรุกออกจากกระดาน
เจ้าชายแฮร์รี ทรงรับราชการในกองทัพอังกฤษเป็นเวลา 10 ปี ได้เลื่อนยศจนถึงระดับร้อยเอก และให้คำจำกัดความช่วงเวลาที่อยู่ในกองทัพของพระองค์ว่า เป็นขวบปีแห่งการพัฒนา
การออกรบครั้งแรกของพระองค์ ดำเนินการภายใต้การปิดข่าวอย่างเข้มงวดในเหตุผลด้านความปลอดภัย ซึ่งได้รับความเห็นพ้องจากบรรดาสื่อมวลชนอังกฤษทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม พระองค์ถูกส่งตัวกลับหลังสื่อมวลชนต่างชาติเผยแพร่ข่าวนี้ออกไป
ที่ผ่านมา เจ้าชายแฮร์รีไม่เคยตรัสอย่างเปิดเผยว่าพระองค์ทรงสังหารพวกตอลิบานไปมากน้อยแค่ไหน
กล้องวิดีโอที่ติดตั้งอยู่บนจมูกเฮลิคอปเตอร์อาปาเชของเจ้าชายแฮร์รี สามารถช่วยให้พระองค์ทรงสามารถประเมินภารกิจ และสรุปได้อย่างชัดเจนถึงจำนวนฝ่ายศัตรูที่พระองค์ลงมือสังหาร "จำนวนของข้าพเจ้าคือ 25 ราย จำนวนนี้ไม่ได้เติมเต็มความพึงพอใจของข้าพเจ้า แต่มันก็ไม่ได้สร้างความลำบากใจแก่ข้าพเจ้าเช่นกัน"
เจ้าชายแฮร์รีทรงอ้างความชอบธรรมต่อการกระทำของตนเอง โดยระบุสืบเนื่องจากความทรงจำของพระองค์ต่อเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 โจมตีในสหรัฐฯ และหลังจากได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับบรรดาครอบครัวเหยื่อ
"ผู้อยู่เบื้องหลังและพวกที่เข้าข้างพวกเขาเป็นศัตรูต่อมนุษยชาติ และการสู้รบกับพวกเขาเป็นการแก้แค้นการก่ออาชญากรรมกับมนุษย์" พระองค์กล่าว
ด้วยเหตุนี้ เจ้าชายแฮร์รี ทรงส่งเสียงแสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของพระองค์เอง ไม่ใช่เพราะพระองค์มีสถานะเชื้อพระวงศ์ แต่เป็นเพราะช่วงเวลาที่พระองค์เคยสู้รบกับพวกอิสลามิสต์หัวรุนแรงด้วยเช่นกัน
(ที่มา : เอเอฟพี)