เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธทิ้งตัว 3 ลูกไปตกในทะเลนอกชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรเกาหลีเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (31 ธ.ค.) ซึ่งนับเป็นครั้งล่าสุดของการทดสอบอาวุธซึ่งเกิดขึ้นถี่เป็นประวัติการณ์ในปีนี้
คณะเสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้ (JCS) ระบุว่า ขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยใกล้ 3 ลูกถูกยิงออกจากจังหวัดฮวางแฮเหนือ ทางตอนใต้ของกรุงเปียงยาง เมื่อเวลา 8.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ขีปนาวุธทั้ง 3 ลูกได้พุ่งแหวกอากาศขึ้นไปถึงระดับความสูง 100 กิโลเมตร และตกลงสู่ทะเลห่างจากจุดที่ยิงประมาณ 350 กิโลเมตร ซึ่งเป็นข้อมูลที่สอดคล้องกับกองทัพเกาหลีใต้
JCS วิจารณ์การยิงขีปนาวุธครั้งนี้ว่าเป็นการละเมิดคำสั่งห้ามของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเป็น “พฤติกรรมยั่วยุร้ายแรงที่บ่อนทำลายทั้งสันติภาพและเสถียรภาพบนคาบสมุทรเกาหลี รวมไปถึงประชาคมโลกด้วย” พร้อมเรียกร้องให้เปียงยางหยุดการกระทำเช่นนี้ทันที
กองบัญชาการอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ ยืนยันว่า แม้การยิงทดสอบขีปนาวุธครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือจะ “ไม่เป็นภัยคุกคามเฉพาะหน้า” ต่อบุคลากร หรือดินแดนของสหรัฐฯ รวมถึงประเทศพันธมิตรของอเมริกาด้วย แต่ก็ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบร้ายแรงจากโครงการพัฒนาอาวุธโสมแดง
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของเปียงยางมีขึ้นเพียง 1 วัน หลังจากที่กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ประกาศความสำเร็จในการยิงทดสอบจรวดนำส่งอวกาศที่ใช้เชื้อเพลิงแข็ง (solid-propellant space launch vehicle)
สำนักข่าวยอนฮัปรายงานว่า เกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธไปราวๆ 70 ลูกในปีนี้ (ไม่นับ 3 ลูกล่าสุด) ซึ่งในจำนวนดังกล่าวเป็นขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป (ICBM) ประมาณ 8 ลูก
เมื่อวันจันทร์ (26) เกาหลีเหนือได้ส่งอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) จำนวน 5 ลำเข้าไปในน่านฟ้าของเกาหลีใต้ จนทำให้กองทัพโซลต้องส่งทั้งเครื่องบินขับไล่และเฮลิคอปเตอร์โจมตีออกติดตามเพื่อยิงโดรนเหล่านั้นให้ตก ซึ่งถือเป็นการรุกล้ำน่านฟ้าในลักษณะนี้ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017
ที่มา : รอยเตอร์