กระแสลมอาร์กติกที่ปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ในวันเสาร์ (24 ธ.ค.) ทำประชาชนมากกว่า 700,000 คน ต้องอยู่โดยไม่มีไฟฟ้าใช้ มีผู้เสียชีวิตในรถยนต์และจากอุบัติเหตุบนท้องถนนอันเนื่องจากสภาพอากาศอย่างน้อย 16 ราย และนักเดินทางหลายพันคนตกค้าง หลังเที่ยวบินจำนวนมากถูกยกเลิก
อุณหภูมิดำดิ่งคาดหมายว่าจะนำมาซึ่งคริสต์มาสอีฟที่หนาวเหน็บที่สุดเป็นประวัติการณ์ และระบบพลังงานทั่วประเทศอยู่ในภาวะตึงเครียด ท่ามกลางอุปสงค์ความร้อนที่พุ่งสูงและความเสียหายที่เกิดกับสายส่งไฟฟ้าอันเนื่องจากพายุ
อย่างไรก็ตาม จำนวนไฟฟ้าดับล่าสุดนั้นถือว่าลดลงอย่างมากจากจำนวนภาคธุรกิจและบ้านเรือนสหรัฐฯ 1.8 ล้านหลังคาเรือน ที่ต้องอยู่โดยปราศจากไฟฟ้าจนถึงเช้าวันเสาร์ (24 ธ.ค.) แต่กระนั้นบริษัทไฟฟ้าหลายแหล่งยังคงร้องขอให้ผู้บริโภคประหยัดพลังงาน ไม่ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่และปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็น
ปัญหาติดขัดดังกล่าวส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน และแผนการเดินทางของชาวอเมริกาหลายล้านคน หนึ่งในช่วงเวลาที่มีการเดินทางมากที่สุดของปี
เว็บไซต์ FlightAware รายงานว่า เที่ยวบินมากกว่า 2,700 เที่ยว ถูกยกเลิกในวันเสาร์ (24 ธ.ค.) ส่วนที่ออกเดินทางล่าช้ามีอยู่ราวๆ 6,400 เที่ยว หลังจากก่อนหน้านี้ในวันศุกร์ (23 ธ.ค.) มีมากกว่า 5,000 เที่ยวที่ถูกยกเลิก
สมาคมยานยนต์แห่งสหรัฐฯ คาดหมายว่าจะมีประชาชนมากกว่า 112.7 ล้านคน ออกเดินทางจากบ้านเป็นระยะทาง 80 กิโลเมตรขึ้นไป ในช่วงระหว่างวันที่ 23 ธันวาคม ถึง 2 มกราคม แต่แนวโน้มสภาพอากาศพายุในช่วงสุดสัปดาห์ จึงมีความเป็นไปได้ว่าประชาชนจำนวนมากอาจตัดสินใจงดเดินทาง
อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศทั่วสหรัฐฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย และหลายคนร้อยคนติดค้างบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ ตามรายงานของสื่อมวลชน
ในอีรี เคาน์ตี ในนิวยอร์ก ผู้ขับขี่ราว 500 คน ติดค้างอยู่ในยานพาหนะในคืนวันศุกร์ (23 ธ.ค.) จนถึงเช้าวันเสาร์ (24 ธ.ค.) ทำให้ต้องเรียกกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิเข้าช่วยเหลือ จากการเปิดเผยของผู้บริหารอีรี เคาน์ตี อย่างไรก็ตาม พบอย่างน้อย 1 คนเสียชีวิตในรถยนต์
"ไม่มีที่ให้ทุกคนไป ทุกอย่างปิดทำการหมดแล้ว ขอให้อยู่แต่ในบ้าน" เขาให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เอ็นเอสเอ็นบีซี
มีผู้ขับขี่เสียชีวิต 2 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมากในเหตุอุบัติเหตุยานพาหนะ รถชนกันวินาศสันตะโรกว่า 50 คัน ที่ปิดตายถนนโอไฮโอเทิร์นไพก์ (Ohio Turnpike) ทั้ง 2 ทิศทาง ท่ามกลางพายุหิมะซัดถล่มใกล้เมืองโตเลโด ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้รถบัสเข้าอพยพผู้ขับขี่ที่ตกค้าง ช่วยเหลือพวกเขาจากความหนาวเหน็บ
มีผู้เสียชีวิต 3 รายในเคนทักกี ซึ่งทาง แอนดี เบเชียร์ ผู้ว่าการรัฐ เตือนประชาชนในวันเสาร์ (24 ธ.ค.) "ให้อยู่แต่ในที่พักอาศัย เพื่อความปลอดภัยและมีชีวิตรอด"
สภาพอากาศพายุหิมะยังคงปกคลุมเมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก จนถึงวันเสาร์ (24 ธ.ค.) เช่นเดียวกับเคาน์ตีต่างๆ ที่อยู่โดยรอบ ริมทะเลสาบอีรี ทางตะวันตกห่างไกลของนิวยอร์ก พื้นที่ซึ่งคาดหมายว่าจะมีหิมะตกลงมาหนาราว 4 ถึง 6 ฟุต ในวันอาทิตย์ (25 ธ.ค.) จากคำเตือนของสำนักงานพยากรณ์อากาศแห่งชาติ
เมืองแห่งนี้กำหนดมาตรการห้ามขับขี่ในวันศุกร์ (23 ธ.ค.) และยังมีผลบังคับใช้ในวันเสาร์ (24 ธ.ค.) ขณะที่สะพานข้ามเขตแดนทั้งหมด 3 แห่งของเมืองบัฟฟาโล ได้มีการปิดการสัญจรขาเข้ามาจากแคนาดา
คาดหมายว่าอุณหภูมิจะแตะระดับต่ำสุดในวันเสาร์ (24 ธ.ค.) ที่ -13 องศาเซลเซียส ในฟิตต์สเบิร์ก ทุบสถิติต่ำสุดตลอดกาลในวันคริสต์มาสอีฟของเมืองแห่งนี้ ซึ่งอยู่ที่ -10 องศาเซลเซียส ในปี 1983
เมืองเอเธนส์ในรัฐจอร์เจีย และเมืองชาร์ลสตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา คาดหมายว่าจะมีช่วงเวลากลางวันในวันคริสต์มาสอีฟ หนาวเหน็บที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา ส่วนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. คาดการณ์ว่าอาจต้องเผชิญสภาพอากาศในวันที่ 24 ธันวาคม หนาวสุดขั้วที่สุดนับตั้งแต่ปี 1989
นักพยากรณ์อากาศคาดหมายว่า มินนีอาโปลิส จะเป็นจุดที่อากาศหนาวเหน็บที่สุดในอเมริกาในวันเสาร์ (24 ธ.ค.) ด้วยอุณหภูมิ -21 องศาเซลเซียส ส่วนในเช้าวันคริสต์มาส จุดที่เย็นยะเยือกที่สุดจะอยู่ที่เมืองฟาร์โก รัฐนอร์ทดาโคตา ที่อุณหภูมิ -28 องศาเซลเซียส
สภาพอากาศเลวร้ายกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ทั่วประเทศเปิดศูนย์มอบความอบอุ่นแก่ประชาชน ตามห้องสมุดและสถานีตำรวจทั้งหลาย ขณะเดียวกัน ก็พยายามเพิ่มศูนย์พักพิงชั่วคราวแก่คนเร่ร่อน แต่ความพยายามดังกล่าวต้องเจองานท้าทายหนักหน่วงขึ้น จากคลื่นผู้อพยพหลายพันคนที่ไหลบ่าข้ามเข้าสู่ชายแดนทางใต้ของสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
(ที่มา : รอยเตอร์)