อีลอน มัสก์ ไม่ได้ครองตำแหน่งบุคคลผู้มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในโลกอีกต่อไปแล้ว หลังจากมูลค่าของหุ้นของเขาในบริษัทรถไฟฟ้า “เทสลา” หล่นลงมาอย่างฮวบฮาบในปีนี้
ตามข้อมูลทั้งของ ฟอร์บส์ และบลูมเบิร์ก 2 สื่อภาคธุรกิจซึ่งมีความเชี่ยวชาญคอยติดตามจัดอันดับมหาเศรษฐีของโลก มัสก์ ถูกแซงแย่งอันดับ 1 ไปแล้วโดย แบร์นาร์ด อาร์โนลต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ แอลวีเอ็มเอช กลุ่มธุรกิจสินค้าหรูหราฟุ่มเฟือย
มัสก์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของเทสลา โดยที่มีรายงานระบุว่าเขามีหุ้นอยู่ราว 14%
เขายังเป็นผู้ก่อตั้งและซีอีโอของสเปซเอ็กซ์ บริษัทให้บริการด้านการเดินทางในอวกาศที่ยังไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหุ้น และได้ใช้เงิน 44,000 ล้านดอลลาร์ เข้าเทกโอเวอร์แพลตฟอร์มโซเชียลเน็ตเวิร์ก “ทวิตเตอร์” เสร็จสิ้นเรียบร้อยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ตามบัญชีรายชื่อ The World Real-Time Billionaires List ของฟอร์บส์ ภายหลังตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กปิดการซื้อขายในวันอังคาร (13 ธ.ค.) มัสก์ เวลานี้มีความมั่งคั่งอยู่ในระดับ 176,800 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ Bloomberg Billionaires Index ของบลูมเบิร์ก ให้ไว้ที่ระดับ 164,000 ล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน ฟอร์บส์ประมาณการความร่ำรวยของ อาร์โนลต์ ซึ่งบริษัทของเขาเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นและเครื่องสำอางชื่อดังราว 70 แบรนด์ อย่างเช่น หลุยส์ วิตตอง เอาไว้ที่ 186,900 ล้านดอลลาร์ และบลูมเบิร์ก ให้ที่ 171,000 ล้านดอลลาร์
ในกรณีของ มัสก์ ดีลทวิตเตอร์ของเขาเพิ่งเสร็จสิ้นเรียบร้อยไปหลังมีปัญหายุ่งเหยิงทางกฎหมายอยู่หลายเดือน และหลายคนหลายฝ่ายหยิบยกเรื่องการสะดุดติดขัดของการเทกโอเวอร์นี้ว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยเบื้องหลังการตกลงมาของราคาหุ้นเทสลา
แดน อิฟส์ แห่งบริษัทการลงทุน เวดบุช ซีเคียวริตีส์ บอกกับบีบีซี ว่า “ละครสัตว์” ที่เกิดขึ้นมารายรอบการทำดีลทวิตเตอร์ มีผลกระทบต่อราคาหุ้นของเทสลาอย่างชัดเจน
“มัสก์ ได้เปลี่ยนจากการเป็นซูเปอร์ฮีโร่ของหุ้นเทสลา กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของวอลล์สตรีท และเงาทะมึนที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปตามการทวีตแต่ละครั้ง” ของมัสก์ เขาบอก
“การแสดงละครสัตว์ทวิตเตอร์เช่นนี้สร้างความเสียหายให้แก่แบรนด์ “มัสก์” และมันเป็นเงาทะมึนที่คุกคามเหนือหุ้นของเทสลา เนื่องจาก มัสก์คือเทสลา และเทสลาก็คือมัสก์”
มัสก์ ตัดสินใจขายหุ้นเทสลาออกไปเป็นมูลค่าหลายพันล้านดลอลาร์ เพื่อระดมเงินทุนมาช่วยในการซื้อทวิตเตอร์ แต่นั่นคือช่วยดันให้ราคาหุ้นตัวนี้หล่นลงไป
พวกนักลงทุนยังมีความกังวลกันด้วยว่า อุปสงค์ความต้องการรถไฟฟ้าของบริษัทอาจจะชะลอตัวในเมื่อเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะอ่อนแอลง ขณะที่ดอกเบี้ยแพงขึ้นซึ่งก็คือต้นทุนในการกู้ยืมสูงขึ้น กลายเป็นตัวทำให้ผู้ซื้อท้อแท้ใจ แล้วบริษัทอื่นๆ ยังต่างเร่งผลักดันรถไฟฟ้าของพวกตนออกมาแข่งขันด้วย
นอกจากนั้นแล้ว เทสลายังเจอปัญหาข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ ซึ่งทำให้ต้องเรียกคืนรถกลับมาแก้ไขหลายๆ ระลอก เวลาเดียวกับที่รัฐบาลในหลายๆ ประเทศเข้าตรวจสอบปัญหาการเกิดอุบัติเหตุของรถเทสลา รวมทั้งฟีเจอร์ “ออโตไพลอต” ของแบรนด์นี้
(ที่มา : บีบีซี, ฟอร์บส์, บลูมเบิร์ก)
