ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ระบุในวันพฤหัสบดี (27 ต.ค.) ว่าโลกเผชิญกับทศวรรษที่อันตรายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากบรรดาพวกทรงอิทธิพลตะวันตกดิ้นรนพยายามขัดขวางไม่ให้ความเป็นเจ้าโลกของสหรัฐฯ และพันธมิตรต้องล่มสลาย แม้มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
หนึ่งในการกล่าวปราศรัยครั้งยืดยาวที่สุดนับตั้งแต่ส่งทหารเข้าไปในยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ปูติน ส่งสัญญาณว่าเขาไม่เสียใจเลยกับสิ่งที่เขาเรียกว่า "ปฏิบัติการพิเศษด้านการทหาร" และกล่าวหาตะวันตกปลุกปั่นสงคราม เล่นเกมนองเลือด สกปรกและเป็นอันตราย หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความโกลาหลไปทั่วโลก
"ประวัติศาสตร์ช่วงเวลาของการครองกิจการต่างๆ ของโลกของตะวันตก โดยไม่มีใครมาแบ่งแยก กำลังมาถึงจุดจบ" ปูตินบอกกับการประชุมวัลไดประจำปีในกรุงมอสโก "เรายืนอยู่ ณ ชายขอบประวัติศาสตร์ เบื้องหน้าอาจเป็นทศวรรษที่อันตรายที่สุด ไม่อาจคาดเดาได้ และในเวลาเดียวกันก็อาจเป็นทศวรรษที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2"
อดีตสายลับเคจีบีวัย 70 ปีรายนี้ ใช้เวลาพบปะกับบรรดาผู้เชี่ยวชาญรัสเซียนานกว่า 1 ชั่วโมง ซึ่งเขาให้คำพูดที่สามารถตีความได้ว่าเป็นการเสียดแทงตะวันตก ระหว่างที่เขาพรรณนาถึงความเสื่อมโทรมและเสื่อมถอยของตะวันตก ท่ามกลางการผงาดขึ้นมาของบรรดามหาอำนาจเอเชียอย่างเช่น จีน
ระหว่างปราศรัยนานกว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง ปูติน ดูมีท่าทีผ่อนคลาย ระหว่างที่ถูกถามคำถามต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความกังวลเกี่ยวกับสงครามนิวเคลียร์ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง และเกี่ยวกับความรู้สึกของเขาต่อกรณีทหารรัสเซียเสียชีวิตในสงครามยูเครน ซึ่งเขาเรียกบางส่วนว่าเป็นสงครามกลางเมือง คำจำกัดความที่ทางเคียฟปฏิเสธ
ผู้คนหลายหมื่นรายเสียชีวิตในสงคราม ในขณะที่ตะวันตกกำหนดมาตรการคว่ำบาตรครั้งหนักหน่วงที่สุดในประวัติศาสตร์เล่นงานรัสเซีย หนึ่งในชาติผู้จัดหาทรัพยากรธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลก
ประธานาธิบดีรัสเซียกล่าวโทษตะวันตก สำหรับโหมกระพือความตึงเครียดทางนิวเคลียร์เร็วๆ นี้ โดยอ้างคำพูดของ ลิซ ทรัสส์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ที่เคยบอกว่าเธอพร้อมใช้การป้องปรามทางนิวเคลียร์ของลอนดอน หากกรณีแวดล้อมจำเป็นต้องทำเช่นนั้น
ปูติน เน้นย้ำคำกล่าวหาที่ว่า ยูเครน อาจจุดชนวนระเบิดกัมมันตรังสี (dirty bomb) คำกล่าวหาที่ทางเคียฟและตะวันตกปฏิเสธว่าเป็นเท็จและปราศจากหลักฐานใดๆ
นอกจากนี้ ปูติน ยังระบุว่า คำพูดชวนเชื่อของทางยูเครน ซึ่งอ้างว่ามอสโกปั้นแต่งข้อกล่าวหานี้ขึ้นมาเพื่ออำพรางแผนจุดชนวนระเบิดกัมมันตรังสีของตนเองนั้น ไม่เป็นความจริง
"เราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ต้องทำเช่นนั้น" ปูตินกล่าว พร้อมระบุเครมลินจะตอบโต้หากรู้สึกว่าถูกแบล็กเมล์ทางนิวเคลียร์โดยตะวันตก
การรุกรานยูเครนของรัสเซีย โหมกระพือการเผชิญหน้ากับตะวันตกครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตขีปนาวุธคิวบาปี 1962 ในความซับซ้อนของสงความเย็น ช่วงเวลาที่สหภาพโซเวียตและสหรัฐฯ เฉียดใกล้เปิดสงครามนิวเคลียร์กันมากที่สุด
เมื่อถูกถามความเป็นไปได้ที่สถานการณ์ในยูเครนจะลุกลามบานปลายสู่ความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ ปูตินบอกว่าอันตรายของอาวุธนิวเคลียร์จะยังมีอยู่ ตราบใดที่ยังคงมีอาวุธชนิดนี้
อย่างไรก็ตาม ปูติน บอกว่าหลักนิยมทางทหารของรัสเซียคือป้องกันตนเอง และเมื่อถูกถามเกี่ยวกับวิกฤตขีปนาวุธคิวบา เขากล่าวว่าไม่ปรารถนาเข้าไปอยู่ในจุดที่ นีกีตา ครุชชอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียต และจอห์น เอฟ เคนเนดี ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นำพาโลกไปยืนอยู่บนชอบเหวสงครามนิวเคลียร์ ก่อนสถานการณ์ความตึงเครียดคลี่คลายลง "ไม่มีทาง ผมไม่สามารถจินตนาการตนเองในบทบาทของครุชชอฟ"
ปูติน ยกความขัดแย้งในยูเครนว่าเป็นการสู้รบระหว่างตะวันตกกับรัสเซีย เพื่อชะตากรรมของประเทศสลาฟตะวันออกใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ซึ่งเขาบอกว่าอย่างไรเสีย จุดจบของมันคือเรื่องน่าเศร้าสำหรับยูเครน
ประธานาธิบดีรายนี้ยอมรับว่ามีความสูญเสียเกิดขึ้นต่อเนื่องกับรัสเซียในยูเครน แต่หลักเลี่ยงไม่ให้รายละเอียดใดๆ ในสิ่งที่ตะวันตกอ้างว่าเป็นความสูญเสียมหาศาล อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่ามีเพียงรัสเซียเท่านั้นที่สามารถรับประกันบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครน
ปูติน กล่าวปิดท้ายว่า ตะวันตกจำเป็นต้องพูดคุยกับรัสเซียและมหาอำนาจหลักอื่นๆ เกี่ยวกับอนาคตของโลกใบนี้
(ที่มา : รอยเตอร์)