ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ให้การรับรองเอกราชแคว้นซาปอริซเซียและแคว้นเคอร์ซอน จากกฤษฎีกาประธานาธิบดีที่เผยแพร่ในช่วงค่ำวันพฤหัสบดี (29 ก.ย.) ก่อนหน้าผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนรัสเซีย
"ผมสั่งให้รับรองอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐและเอกราชของแคว้นซาปอริซเซีย และเคอร์ซอน ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของยูเครน" ปูตินระบุในกฤษฎีกา ความเคลื่อนไหวซึ่งมีขึ้นในขณะที่รัสเซียเตรียมผนวกทั้ง 2 แคว้น กับแคว้นโดเนตสก์แลแคว้นลูฮันสก์ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ (30 ก.ย.)
มอสโกเผยก่อนหน้านี้ว่าจะทำการผนวกทั้ง 4 แคว้นของยูเครน ที่อยู่ภายใต้การยึดครองของกองกำลังรัสเซีย ณ พิธีการอันยิ่งใหญ่ ที่จัดขึ้นในวังเครมลินในวันศุกร์ (30 ก.ย.)
ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกของวังเครมลิน บอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า การผนวกพื้นที่เหล่านี้จะกลายเป็นการรวมดินแดนอย่างเป็นทางการในพิธีดังกล่าว และ ปูติน จะมีการกล่าวปราศรัยครั้งสำคัญในโอกาสนี้ด้วย
ปูติน เคยขู่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ปกป้องดินแดนต่างๆ ของรัสเซีย แต่คำขู่ดังกล่าวไม่สามารถป้องปรามปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ของยูเครน ซึ่งตีโต้จนทหารรัสเซียถอยร่นทางภาคตะวันออก และเวลานี้รุกคืบมาจนถึงเมืองลีมัน บันไดหน้าบ้านของแคว้นโดเนตสก์ ที่ทางกองกำลังมอสโกต้องใช้เวลาโจมตีนานหลายสัปดาห์ ถึงสามารถบุกยึดได้ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา
บรรดาผู้นำของทั้ง 4 แคว้นที่ได้รับการแต่งตั้งจากเครมลิน ในสัปดาห์นี้เร่งเร้าให้ ปูติน ผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน และล่าสุดมีรายงานว่า พวกเขาได้มารวมตัวกันในเมืองหลวงของรัสเซียตั้งแต่วันพฤหัสบดี (29 ก.ย.) ก่อนหน้าพิธีผนวกดินแดนจะเริ่มขึ้น
คำร้องขอที่แทบจะเกิดขึ้นพร้อมกัน มีขึ้นหลังจากพวกเขาอ้างว่าพวกชาวบ้านได้ลงความเห็นอย่างเป็นเอกฉันท์ ในศึกประชามติที่จัดขึ้นอย่างรีบเร่ง สนับสนุนรวมเป็นหนึ่งเดียวกับรัสเซีย แม้มันถูกปฏิเสธจากเคียฟและตะวันตกว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ยูเครนระบุว่า หนทางเดียวที่ตะวันตกจะตอบโต้ความเคลื่อนไหวดังกล่างอย่างสาสม ก็คือกำหนดมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานรัสเซียเพิ่มเติม และจัดหาอาวุธแก่กองกำลังยูเครนมากยิ่งขึ้น เพื่อเดินหน้าทวงคืนดินแดนกลับมา
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดี (29 ก.ย.) ประกาศกร้าวว่า "อเมริกาจะไม่มีวัน ไม่มีวันรับรองคำกล่าวอ้างของรัสเซียต่อดินแดนอธิปไตยของยูเครน" ส่วน อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่แห่งสหประชาชาติ ไม่ยอมรับแผนผนวกดินแดนของรัสเซียเช่นกัน ประณามว่ามันจะยิ่งโหมกระพือความขัดแย้งลุกลามบานปลายอันตราย และไม่ควรมีที่ว่างในโลกสมัยใหม่ "มันต้องไม่เป็นที่ยอมรับ" เขากล่าว
(ที่มา : เอเอฟพี)
