นครนิวยอร์กของสหรัฐฯ เรียกร้องให้องค์การอนามัยโลก (WHO) เปลี่ยนชื่อโรคฝีดาษลิง หรือ monkeypox เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างตราบาป ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอับอายจนปฏิเสธการรักษา
WHO ประกาศให้ฝีดาษลิงเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และจากข้อมูลล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ 25 ก.ค. มีผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้มากกว่า 16,000 คนใน 75 ประเทศทั่วโลก
นครนิวยอร์กพบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงแล้วไม่ต่ำกว่า 1,092 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดในบรรดาเมืองของสหรัฐฯ
“เรามีความกังวลว่า การเรียกชื่อไวรัสฝีดาษลิงอาจส่งผลเสีย และเป็นการสร้างความอับอายให้แก่ชุมชนที่เปราะบางอยู่แล้ว” แอชวิน วาซาน กรรมาธิการด้านสาธารณสุขของนครนิวยอร์ก ระบุในจดหมายที่ส่งถึง ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ WHO เมื่อวานนี้ (26)
อันที่จริงแนวคิดในการเปลี่ยนชื่อไวรัสฝีดาษลิง เคยถูกพูดถึงมาแล้วในการแถลงข่าวของ WHO เมื่อเดือน มิ.ย.
วาซาน ชี้ว่า คำศัพท์บางคำ (เช่น ฝีดาษลิง) แฝงความหมายเกี่ยวกับการเหยียดผิว และมักถูกนำไปเชื่อมโยงกับชุมชนคนผิวสี พร้อมยกตัวอย่างผลกระทบที่เคยเกิดขึ้นกับผู้ป่วยเอชไอวีในช่วงแรกๆ รวมถึงความเกลียดชังคนเอเชียที่เพิ่มทวีขึ้นในสหรัฐฯ หลังจากอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาเรียกโควิด-19 ว่า “ไวรัสจีน”
“การเรียกโรคระบาดนี้ว่าฝีดาษลิงยิ่งเป็นการซ้ำเติมความเจ็บปวดจากการถูกเหยียดเชื้อชาติและการถูกสร้างตราบาป โดยเฉพาะในกลุ่มคนผิวดำและคนผิวสีอื่นๆ รวมไปถึงกลุ่ม LGBTQIA+ และมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจไม่ยอมเข้ารับการรักษาเพราะเรื่องนี้” วาซาน กล่าว
ประชากรโลกทุกเชื้อชาติมีโอกาสมากพอๆ กันที่จะติดเชื้อฝีดาษลิง ซึ่งเป็นโรคประจำถิ่นในแถบแอฟริกากลางและตะวันตก ทว่าได้แพร่ออกไปสู่ทวีปยุโรปและสหรัฐฯ และโดยมากพบในกลุ่มชายรักชายที่มีเพศสัมพันธ์กัน
อาการในช่วงแรกๆ ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงคือมีไข้และอ่อนเพลีย จากนั้นจะมีผื่นแดงขึ้นทั่วร่างกาย ก่อนที่ผื่นนั้นจะบวมกลายเป็นตุ่มน้ำใสและตุ่มหนอง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สามารถแพร่เชื้อได้สูงสุด ระยะนี้จะคงอยู่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ก่อนที่แผลจะตกสะเก็ดและหลุดลอกไป
ทางการนิวยอร์กได้นำวัคซีน Jynneos หรือวัคซีนฝีดาษที่พบว่าให้ผลในการป้องกันฝีดาษลิงได้ดีพอสมควร มาฉีดให้แก่ประชากรกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่มเกย์และไบเซ็กชวล
ที่มา : เอเอฟพี