ราคาน้ำมันแกว่งตัวปรับขึ้นในวันจันทร์ (2 พ.ค.) จากความกังวลอุปทานตึงตัวท่ามกลางความเป็นไปได้ที่สหภาพยุโรปจะแบนนำเข้าน้ำมันดิบรัสเซีย ส่วนวอลล์สตรีทปิดบวกได้แรงหนุนกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่ทองคำขยับลง
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 48 เซนต์ ปิดที่ 105.17 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนกรกฏาคม เพิ่มขึ้น 44 เซนต์ ปิดที่ 107.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
แหล่งข่าวผู้แทนด้านการทูตอียู 2 คน เปิดเผยว่า อียูมีแนวโน้มจะแบนนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียในช่วงสิ้นปี หลังมีการเจรจากันระหว่างคณะกรรมาธิการยุโรปกับรัฐสมาชิกของอียูเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวนี้ยังมีความไม่แน่นอน ด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศฮังการี ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนท้องถิ่นในวันจันทร์ (2 พ.ค.) สะท้อนจุดยืนของประเทศว่า ฮังการีจะโหวตคัดค้านมาตรการใดก็ตามของสหภาพยุโรป หากว่ามันเป็นอันตรายต่อความมั่นคงทางอุปทานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของพวกเขา
รัสเซียส่งออกน้ำมันดิบ 4.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน และครึ่งหนึ่งในนั้นเป็นการส่งป้อนแก่อียู ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 4 ของปริมาณการนำเข้าน้ำมันทั้งหมดของทางกลุ่มในปี 2020
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกในวันจันทร์ (2 พ.ค.) นักลงทุนช้อนซื้อเพื่อเก็งกำไรหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในช่วงท้ายของการซื้อขาย ก่อนหน้าการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสัปดาห์นี้
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 84.29 จุด (0.26 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 33,061.50 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 23.45 จุด (0.57 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,155.38 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 201.38 จุด (1.63 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 12,536.02 จุด
ที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ถูกคาดหมายอย่างกว้างขวางว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% ซึ่งหากเป็นจริงจะถือว่าเป็นการเริ่มต้นของช่วงเวลาปรับขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ด้านราคาทองคำในวันจันทร์ (2 พ.ค.) ปิดลบแรง ถือเป็นวันที่ดิ่งลงหนักสุดในรอบ 2 เดือน โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 48.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,863.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์
(ที่มา : รอยเตอร์/มาร์เก็ตวอตช์)