กรุงปักกิ่งเร่งปูพรมตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19 จากประชาชนเกือบทั้งหมดของเมืองหลวงที่มีประชากรรวม 22 ล้านคนในวันอังคาร (26 เม.ย.) เพื่อเร่งตัดวงจรการระบาดแต่เนิ่นๆ และหลีกเลี่ยงไม่ต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั้งเมืองแบบเซี่ยงไฮ้ อย่างไรก็ตาม ประชาชนจำนวนมากต่างกังวลและพากันไปเข้าคิวซื้อเสบียงกักตุนตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ (24)
เพื่อหลีกเลี่ยงชะตากรรมเดียวกับเซี่ยงไฮ้ เมืองใหญ่ที่สุดของจีน ซึ่งต้องมีการใช้มาตรการล็อกดาวน์กันอย่างเข้มงวดแทบทั้งเมืองมาหลายสัปดาห์แล้ว หลังจากคุมสถานการณ์การระบาดไม่ค่อยอยู่ นครหลวงปักกิ่งจึงลงมือแต่เนิ่นๆ โดยเริ่มตรวจโควิด-19 ในประชาชน 3.5 ล้านคนที่พำนักอยู่ในเขตเฉาหยาง ซึ่งเป็นเขตที่มีประชากรมากที่สุดตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ (25) และจัดทำรายชื่อในอีก 10 เขตกับ 1 เขตพัฒนาเศรษฐกิจที่มีประชาชนรวม 20 ล้านคนที่ต้องเริ่มตรวจในวันอังคาร (26) โดยประชาชนเหล่านี้ต้องเข้ารับการตรวจโควิดแบบพีซีอาร์คนละ 3 รอบ
คำสั่งปูพรมตรวจโควิดในเฉาหยาง ทำให้ประชาชนตื่นตระหนกและพากันไปซื้อเสบียงตุนไว้ตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ เนื่องจากกลัวว่าจะมีการล็อกดาวน์ปุบปับเหมือนเซี่ยงไฮ้ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงอาหารและการรักษาพยาบาลโรคอื่นๆ นอกจากโควิดได้ แม้ทางการปักกิ่งพยายามให้ความมั่นใจว่า ข้าวของเครื่องใช้มีเพียงพอต่อความต้องการก็ตาม
การสั่งปูพรมตรวจเช่นนี้ มีขึ้นหลังจากปักกิ่งพบผู้ติดโควิดรายวันในระดับหลักสิบ ซึ่งรวดเร็วกว่าทางเซี่ยงไฮ้ที่รออยู่ราว 1 เดือนและจนกระทั่งพบผู้ติดเชื้อวันละกว่า 1,000 คนจึงเริ่มตรวจโควิดทั่วเมืองเมื่อต้นเดือนนี้
ทั้งนี้ ปักกิ่งรายงานเมื่อวันอังคารว่า พบผู้ติดโควิดรายใหม่ 33 คน เพิ่มจาก 19 คนในวันก่อนหน้า แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต ส่วนเคสใหม่รายวันของเซี่ยงไฮ้นั้นยังอยู่ที่ 16,000 คน และในวันเดียวกันนั้นยังพบผู้เสียชีวิต 52 คน จาก 51 คนในวันจันทร์ รวมยอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการนับจากวันที่ 17 ที่ผ่านมา 190 คน ขณะที่ชาวเมืองหลายคนเผยว่า มีญาติหรือเพื่อนเสียชีวิตจากโควิดเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม จึงทำให้เกิดกระแสระแวงสงสัยเกี่ยวกับสถิติที่ทางการเปิดเผย
ที่ปักกิ่ง โรงเรียน ห้างร้าน และสำนักงานยังเปิดตามปกติ แต่โรงละครแห่งชาติกำหนดปิดจนถึงสิ้นเดือน ทางการยังขอให้บริษัทต่างๆ อนุญาตให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน ระงับการท่องเที่ยวในท้องถิ่นเป็นหมู่คณะก่อนถึงช่วงวันหยุดยาวเทศกาลวันแรงงาน (30 เม.ย. ถึง 4 พ.ค.) รวมทั้งขอให้ประชาชนงดเดินทางออกจากเมืองหลวงโดยไม่จำเป็น ตลอดจนสั่งยกเลิกการจัดการแข่งขันกีฬาและนิทรรศการต่างๆ ระงับงานสังสรรค์ขนาดใหญ่ เช่น งานแต่งงาน ระงับการซ่อมแซมต่อเติมบ้านและโครงการก่อสร้างบางอย่าง
จื้อเว่ย จาง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของพินพอยต์ แอสเส็ต แมเนจเมนต์ ตั้งข้อสังเกตว่า มาตรการสกัดโควิดในปักกิ่ง ยังถือว่าเบากว่าเมืองอื่นๆ
เยิร์ก วอตกี ประธานสมาคมหอการค้าสหภาพยุโรป (อียู) ในปักกิ่ง ขานรับว่า ถ้ามีการล็อกดาวน์ในปักกิ่ง ธุรกิจจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าที่เซี่ยงไฮ้ เนื่องจากงานส่วนใหญ่ในเมืองหลวงของจีนสามารถทำจากที่บ้านได้
สำหรับที่เซี่ยงไฮ้ เจ้าหน้าที่ยังคงบังคับใช้มาตรการสกัดโควิดเข้มงวด แต่เริ่มผ่อนคลายข้อจำกัดบางอย่าง กระนั้น ชาวเซี่ยงไฮ้ส่วนใหญ่ยังต้องกักตัวในบ้านหรืออาคารที่พักอาศัย ขณะที่คนที่สามารถออกจากบ้านได้ก็ไม่มีที่ไปมากนัก เนื่องจากห้างร้านและสถานที่ส่วนใหญ่ปิด
ในพื้นที่ที่อนุญาตให้ออกจากบ้านได้ ประชาชนได้รับการร้องขอให้ตรวจแอนติเจนด้วยตนเองแทนการไปเข้าคิวตรวจพีซีอาร์ ขณะที่พื้นที่อื่นๆ ที่เหลือยังบังคับใช้คำสั่งตรวจพีซีอาร์ทุกวัน
เวลานี้ ทางการจีนต้องเผชิญผลกระทบจากนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” ซึ่งมีต่อเศรษฐกิจและธุรกิจเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการระบาดในเมืองสำคัญอย่างเซี่ยงไฮ้
นอกจากนั้น ทั่วโลกยังกังวลมากขึ้นว่า การระบาดในจีนและนโยบายโควิดเป็นศูนย์อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะต่อระบบห่วงโซ่อุปทาน
(ที่มา : เอเอฟพี)