สหรัฐฯ อนุมัติโครงการจำหน่ายยุทโธปกรณ์และบริการให้แก่ไต้หวันเพื่อบำรุงรักษาและปรับปรุงระบบขีปนาวุธแพทริออต โดยคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,300 ล้านบาท
สำนักงานความร่วมมือด้านความมั่นคงกลาโหมแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S.Defense Security Cooperation Agency - DSCA) แถลงวานนี้ (7 ก.พ.) ว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อนุมัติการจำหน่ายยุทโธปกรณ์และบริการตามที่ไต้หวันร้องขอมา และ DSCA ได้แจ้งให้สภาคองเกรสรับทราบแล้ว
ทั้งนี้ การอัปเกรดระบบแพทริออตซึ่งเป็นขีปนาวุธชนิดยิงจากพื้นสู่อากาศ “จะช่วยเพิ่มความมั่นคงให้แก่ประเทศผู้รับ และช่วยธำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพทางการเมือง ดุลอำนาจทางทหาร ตลอดจนเศรษฐกิจและความเจริญก้าวหน้าในภูมิภาค” DSCA ระบุในถ้อยแถลง
“การจำหน่ายยุทโธปกรณ์และบริการครั้งนี้ยังเอื้อต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ทั้งในแง่เศรษฐกิจและความมั่นคง โดยการสนับสนุนให้ประเทศผู้รับสามารถยกระดับกองกำลังให้มีความทันสมัย และคงไว้ซึ่งศักยภาพในการป้องกันตนเองที่เชื่อถือได้”
บริษัทคู่สัญญาหลักในโครงการนี้ ได้แก่ เรย์ธีออน เทคโนโลยีส์ และล็อกฮีด มาร์ติน
ด้านกระทรวงการต่างประเทศไต้หวันออกมาแสดงความ “ยินดีอย่างยิ่ง” ในการตัดสินใจของสหรัฐฯ
“ท่ามกลางการขยายอิทธิพลทางทหารและพฤติกรรมข่มขู่ยั่วยุของจีน ประเทศของเราจะรักษาความมั่นคงของชาติไว้ด้วยการป้องกันที่เข้มแข็ง และจะยกระดับความเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงที่ใกล้ชิดระหว่างไต้หวันกับสหรัฐอเมริกาต่อไป” กระทรวงการต่างประเทศไต้หวัน ระบุ
ทางกระทรวงเผยด้วยว่า รัฐบาลไต้หวันตัดสินใจสั่งซื้อขีปนาวุธแพทริออตรุ่นใหม่ๆ จากสหรัฐฯ ตั้งแต่ตอนพบปะกับเจ้าหน้าที่อเมริกันในยุครัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อปี 2019 และคาดว่าข้อตกลง “จะเริ่มมีผลบังคับ” ภายในระยะเวลา 1 เดือนนับจากนี้
ไต้หวันซึ่งเป็นเกาะที่ปกครองตนเองด้วยระบอบประชาธิปไตย โอดครวญว่าถูกกองทัพอากาศจีนส่งเครื่องบินรุกล้ำเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศ (ADIZ) อย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าเป็นความพยายามของปักกิ่งที่จะกดดันให้ไทเปยอมรับว่าเป็นดินแดนในอธิปไตยของจีน
สหรัฐฯ นั้นก็เช่นเดียวกับประเทศส่วนใหญ่ที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตแบบเป็นทางการกับไต้หวัน แต่ยังคงเป็น “แบ็ก” รายใหญ่ที่สุดให้กับไทเปในเวทีโลก และมีพันธกรณีตามกฎหมายที่จะต้องสนับสนุนให้ไต้หวันสามารถป้องกันตนเองจากการถูกจีนรุกราน
เอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐฯ เอ่ยเตือนเมื่อเดือน ม.ค. ว่า มหาอำนาจทั้งสองอาจถึงขั้นต้อง “เผชิญหน้าทางทหาร” หากวอชิงตันสนับหนุนให้ไต้หวันแยกตัวเป็นเอกราช
ที่มา : รอยเตอร์