ราคาน้ำมันปรับลดในวันพฤหัสบดี (13 ม.ค.) นักลงทุนขายทำกำไรหลังดีดตัวขึ้น 2 วันติด ท่ามกลางความกังวลสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุก ขณะที่วอลล์สตรีทและทองคำปิดลบ แม้มีมุมมองเชิงบวกว่าภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อาจถึงจุดพีกสุดแล้ว
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 52 เซนต์ ปิดที่ 82.12 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนมีนาคม ลดลง 20 เซนต์ ปิดที่ 84.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
จอห์น คิลดัฟฟ์ นักวิเคราะห์จากอะเกน แคปิตอล แมนเนจเมนท์ ในนิวยอร์ก ระบุว่า "ข้อมูลเงินเฟ้อราคาผู้ผลิตร้อนแรงพอสมควรในเดือนที่แล้ว และอาจก่อแรงกดดันต่อธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ดึงบังเหียนเศรษฐกิจ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะฉีดราคาน้ำมันและก่อแรงหนุนต่อดอลลาร์"
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดี (13 ม.ค.) ปิดลบ แม้มีมุมมองในแง่ดีจากนักลงทุน ว่าบางทีตัวเลขเงินเฟ้อของอเมริกาอาจถึงจุดสูงสุดแล้ว หลังดีดตัวแตะระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ
ดาวโจนส์ ลดลง 176.70 จุด (0.49 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 36,113.62 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 67.32 จุด (1.42 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,659.03 จุด แนสแดค ลดลง 381.58 จุด (2.51 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 14,806.81 จุด
ดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 7% ในเดือนธันวาคม เมื่อเทียบรายปี ถือเป็นอัตราที่ร้อนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1982 ปัญหาด้านอุปทานและราคาพลังงาน ประกอบกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากอเมริกันชนที่กำลังคืนสู่ชีวิตปกติ
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่เผยแพร่ออกมาในวันพุธ (12 ม.ค.) ถือเป็นไปตามที่คาดหมายไว้ และพวกนักวิเคราะห์ชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วในอัตราที่ชะลอตัวลง
ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคที่ต่ำกว่าคาดหมาย ผลักนักลงทุนเมินสินทรัพย์เสี่ยงต่ำและฉุดราคาทองคำในวันพฤหัสบดี (13 ม.ค.) ปิดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 5 วัน โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ลดลง 5.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,821.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์
(ที่มา : รอยเตอร์)