ชายคนหนึ่งในออสเตรเลียได้รับบาดเจ็บอาการเป็นตายเท่ากัน หลังจุดไฟเผาตนเองในที่สาธารณะ ท่ามกลางรายงานข่าวที่ระบุว่า เพื่อประท้วงต่อต้านข้อจำกัดสกัดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ของประเทศ ในนั้นรวมถึงคำสั่งบังคับฉีดวัคซีนในรัฐวิคตอเรีย
เหตุการณ์เผาตัวเองอันน่าสยดสยองนี้เกิดขึ้นในย่านริชมอนด์ ของเมืองเมลเบิร์นเมื่อวันเสาร์ (1 ม.ค.) ในวันขึ้นปีใหม่ ตามรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่น
ผู้เห็นเหตุการณ์อ้างว่า ได้ยินเสียงชายรายนี้ตะโกนต่อต้านข้อจำกัดสกัดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อันเข้มงวดของประเทศ ก่อนจุดไฟเผาตัวเองในรถแฮทช์แบ็กสีเงิน ที่จอดอยู่บริเวณด้านอกของร้านอาหารท้องถิ่นแห่งหนึ่ง
ตำรวจและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงพยายามใช้น้ำเข้าดับไฟ แต่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากพลเมืองดีคนอื่นๆ อีก 5 คน จากนั้นผู้เห็นเหตุการณ์คนอื่นๆ ก็ช่วยตำรวจยื้อยุดชายดังกล่าว จนกระทั่งเจ้าหน้าที่สามารถกดให้เขานอนราบกับพื้นได้สำเร็จ
A #Victorian man set himself on fire inside his car while screaming about #COVID19 vaccine mandates.
Shocked bystanders pinned down the man as police and firefighters doused him with water and rushed him to the hospital with life-threatening injuries#auspol #Melbourne #victoria pic.twitter.com/gfcZpx9f9h— 5 News Australia (@5NewsAustralia) January 1, 2022
ชายรายนี้ถูกพาตัวขึ้นรถฉุกเฉินนำส่งโรงพยาบาลในเวลาต่อมา และเวลานี้เขากำลังรักษาอาการบาดเจ็บสาหัส "เป็นตายเท่ากัน" ตำรวจระบุ
ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนท้องถิ่นว่า ผิวหนังของชายคนนี้ "ถูกไฟเผาไหม้" ก่อนที่คนอื่นๆ จะช่วยกันสาดน้ำดับไฟได้สำเร็จ "ผิวหนังเขาถูกเผาไหม้ ไฟลุกท่วมเขา ผิวหนังของเขาติดมากับเสื้อของผมเลย เขาตะโกนต่อต้านข้อบังคับต่างๆ"
ส่วนผู้เห็นเหตุการณ์อีกคน ลิเดีย โอ คอนเนอร์ ซึ่งกำลังรับประทานอาหารอยู่ ให้สัมภาษณ์ว่า "เขาราดน้ำมันใส่ตัวเองและใส่รถยนต์ มันเกิดขึ้นจากความตั้งใจ เขาตะโกนเกี่ยวกับมาตรการบังคับ เขาตะโกนไม่เอาบัตรผ่านวัคซีน และขว้างปาหนังสือ"
นอกเหนือจากเข้าๆ ออกๆ มาตรการล็อกดาวน์แล้ว รัฐวิคตอเรียยังได้กำหนดข้อบังคับต่างๆ โดยมีเป้าหมายสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในนั้นรวมถึงบังคับฉีดวัคซีนที่มีผลบังคับใช้ครอบคลุมถึงแรงงานกลุ่มใหญ่ เช่นเดียวกับโครงการ "พาสปอร์ตวัคซีน" ที่ห้ามบุคคลยังไม่ฉีดวัคซีน ใช้บริการบาร์ ร้านอาหาร และสถานที่สาธารณะอื่นๆ
(ที่มา : รัสเซียทูเดย์/5นิวส์ออสเตรเลีย