ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน กล่าวในการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีนสมัยพิเศษ ฉลองครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-จีน ผ่านระบบทางไกลวันนี้ (22 พ.ย.) โดยยืนยันว่าปักกิ่งจะไม่ใช้อิทธิพลจากการเป็นประเทศขนาดใหญ่ “คุกคาม” เพื่อนบ้านในภูมิภาค ท่ามกลางปัญหาข้อพิพาททะเลจีนใต้ที่กำลังทวีความตึงเครียด
“จีนจะยังคงเป็นเพื่อนบ้านที่ดี เป็นมิตรที่ดี และหุ้นส่วนที่ดีของอาเซียนตลอดไป” สื่อรัฐบาลจีนรายงานคำแถลงของ สี
ผู้นำจีนยังย้ำด้วยว่า ปักกิ่งจะไม่ใช้อำนาจหรือความเป็นประเทศใหญ่ข่มเหงรังแกชาติที่เล็กกว่า และพร้อมที่จะร่วมมือกับอาเซียนเผื่อขจัด “การแทรกแซง”
การที่จีนอ้างความเป็นเจ้าของน่านน้ำเกือบทั้งหมดในทะเลจีนใต้ส่งผลให้มีข้อบาดหมางกับหลายประเทศในอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, บรูไน, และมาเลเซียซึ่งอ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อนกันอยู่ และเป็นประเด็นที่สหรัฐฯ หยิบยกมาโจมตีจีนอยู่เสมอ
วันพฤหัสบดีที่แล้ว (18) รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้แถลงประณามจีน “ด้วยถ้อยคำรุนแรงที่สุด” จากกรณีที่ยามฝั่งจีนใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงยิงใส่เรือขนส่งเสบียงสำหรับนาวิกโยธินฟิลิปปินส์ที่กำลังจะมุ่งหน้าไปยังสันดอน Second Thomas Shoal บริเวณหมู่เกาะสแปรตลีย์
สหรัฐฯ ออกมาระบุในวันศุกร์ (19) ว่าการกระทำของจีนนั้น “อันตราย ยั่วยุ และไม่มีเหตุอันสมควร” พร้อมเตือนว่าอเมริกาอาจจำเป็นต้องเข้าแทรกแซงตามข้อตกลงกลาโหมที่ทำไว้กับมะนิลา หากมีการใช้อาวุธโจมตีเรือของฟิลิปปินส์
ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต แห่งฟิลิปปินส์ กล่าวต่อที่ประชุมซัมมิตซึ่ง สี และสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนเป็นประธานร่วมกันว่า ตน “รังเกียจ” การทะเลาะวิวาท และเชื่อว่าปัญหาทะเลจีนใต้สามารถแก้ไขได้ด้วยหลักนิติธรรม
เป็นที่น่าสังเกตว่า การประชุมซัมมิตจีน-อาเซียนคราวนี้ไม่มีผู้แทนจาก “เมียนมา” เข้าร่วม ขณะที่โฆษกรัฐบาลทหารเมียนมาก็ยังไม่ออกมาแสดงความเห็นในประเด็นดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ซึ่งเป็นผู้นำก่อรัฐประหารนองเลือดในพม่าเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ก็ถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือน ต.ค. เนื่องจากล้มเหลวในการยุติเหตุการณ์รุนแรง ไม่อนุญาตการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และไม่เปิดเจรจากับฝ่ายต่อต้านตามที่ตกลงไว้กับอาเซียน
รัฐบาลทหารพม่าปฏิเสธที่จะส่งผู้แทนระดับรองเข้าร่วมการประชุม และยังวิจารณ์อาเซียนว่าละทิ้งจุดยืน “ไม่แทรกแซงกิจการภายใน” และยอมก้มหัวให้กับแรงกดดันของตะวันตก
ที่มา: รอยเตอร์