เคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในสหราชอาณาจักร ส่งผลให้ประเทศแห่งนี้ล้าหลังชาติอื่นๆของยุโรป และทาง สก็อตต์ ก็อตต์ลีบ อดีตประธานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ(เอฟดีเอ) เรียกร้องให้ดำเนินการวิจัยเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาที่กลายพันธุ์ หรือที่เรียกว่า "เดลตาพลัส" เป็นการด่วน
สหราชอาณาจักร ที่เปิดเศรษฐกิจและผ่อนปรนข้อจำกัดต่างๆเร็วกว่าประเทศอื่นๆในยุโรป รายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่รายวันสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกรกฏาคมในวันอาทิตย์(17ต.ค.) ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตรายสัปดาห์จากไวรัส เกินกว่า 600 รายต่อสัปดาห์ มา 6 สัปดาห์ติดต่อกันแล้ว สูงกว่าประเทศหลักอื่นๆในยุโรปตะวันตก จากข้อมูลของบลูมเบิร์ก
ขณะเดียวกันสหราชอาณาจักรยังล้าหลังประเทศอื่นๆในโครงการฉีดวัคซีนแก่กลุ่มเยาวชนสืบเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียง ปัญหาความล่าช้าดังกล่าวนั่นหมายความว่าพวกเด็กโตส่วนใหญ่จะยังคงไม่ได้รับวัคซีนก่อนเปิดเทอม ในขณะที่อัตาความชุกของโควิด-19 ในกลุ่มคนอายุ 17 ปีลงมา กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ผลการศึกษาของอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอนที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบว่าอัตราการขยายเชื้อไวรัสโควิด-19 (reproduction rate) ในกลุ่มอายุนี้อยู่ที่ 1.18 หมายความว่าผู้ติดเชื้อคน 10 คน สามารถแพร่เชื้อสู่คนอื่นๆได้ราวๆ 12 คน
ก็อตต์ลีบ ระบุว่าการกลายพันธุ์ของเดลตาพลัส ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์ย่อยที่เรียกว่า K417N นั้น ได้สร้างความกังวลเช่นกัน ในขณะที่ที่ผ่านมามันถูกบดบังโดยตัวกลายพันธุ์เบตา ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อการกลับมาติดเชื้อซ้ำ
"เราจำเป็นต้องวิจัยเร่งด่วนเพื่อสรุปว่าเดลตาพลัสนี้แพร่เชื้อได้ง่ายกว่า หลบหลีกภูมิคุ้มกันได้บางส่วนหรือไม่" ก็อตต์ลีบเขียนบนทวิตเตอร์ "ไม่มีสิ่งบ่งชี้ที่ชัดเจนว่ามันแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายกว่ามาก แต่เราควรทำงานเพื่อระบุคุณลักษณะของมันและตัวกลายพันธุ์ใหม่อื่นๆเร็วกว่านี้"
พวกนักวิจัยสหราชอาณาจักรเคยบอกในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ยังไม่พบหลักฐานบ่งชี้ว่าตัวกลายพันธุ์เพิ่มเติมจะก่อความกังวลกว่าเดิม และในบทความหนึ่งในเยอรมนีที่เเผยแพร่เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา พบว่าในขณะที่เดลตาและเดลตาพลัส แพร่เชื้อเข้าสู่เซลล์ปอดได้มีประสิทธิภาพมากกว่าไวรัสตัวดั้งเดิม แต่ดูเหมือนเดลตาพลัสจะไม่มีความอันตรายมากไปกว่าตัวเดลตา
ในอังกฤษ จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าเปอร์เซ็นต์ของประชาชนที่มีผลตรวจเป็นบวกยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 9 ตุลาคม โดยมี 890,000 คนที่มีผลตรวจเป็นบวก หรือคิดเป็น 1 ใน 60
ณ เวลานี้ สหราชอาณาจักรต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 หนักหนาสาหัสกว่าประเทศอื่นๆ โดยไม่เพียงแค่จำนวนประชาชนที่มีผลตรวจเป็นบวกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและเสียชีวิตด้วยเช่นกัน
สหราชอาณาจักรรายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน 49,156 คนในวันจันทร์(18ต.ค.) และเสียชีวิตเพิ่มอีก 45 ราย ภายในช่วง 28 วันหลังมีผลตรวจเป็นบวก หลังจากหนึ่งวันก่อนหน้านี้ พบผู้ติดเชื้อใหม่ 45,140 คนและเสียชีวิต 57 ราย
ตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้สหราชอาณาจักร มีผู้ติดเชื้อสะสมแล้วเกือบ 8,500,000 คน สูงสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก และเสียชีวิตสะสมเกือบ 140,000 คน
(ที่มา:บลูมเบิร์ก)