ชายชาวฮินดูประมาณ 200 คน ซึ่งถือเหล็กเส้นและท่อนไม้เป็นอาวุธ บุกเข้าไปทำลายทรัพย์สินในโบสถ์คริสต์แห่งหนึ่งที่รัฐอุตตราขัณฑ์ ทางตอนเหนือของอินเดีย ระหว่างกำลังมีพิธีสวดมิสซาเมื่อวันอาทิตย์ (3 ต.ค.) นับเป็นเหตุความรุนแรงล่าสุดที่เกิดกับชนกลุ่มน้อยชาวคริสต์ในแดนภารตะ
ทางโบสถ์ได้ยื่นเอกสารร้องเรียนต่อทางการ โดยระบุว่า ถูกกลุ่มชาวฮินดูสายฮาร์ดไลน์ที่ตั้งตัวเป็น ‘vigilante groups’ หรือพวกนิยมศาลเตี้ย บุกเข้าไปทำลายเฟอร์นิเจอร์ รูปถ่าย และเครื่องดนตรีของโบสถ์ พร้อมกับร้องตะโกนสรรเสริญ “พระราม”
เหตุการณ์นี้ยังทำให้สมาชิกของโบสถ์บาดเจ็บไป 5 คน
วิเวก กุมาร ตำรวจท้องที่ ยืนยันกับเอเอฟพีว่า “เราได้บุกตรวจค้นบ้านต้องสงสัยเมื่อค่ำวานนี้เพื่อควบคุมตัวแกนนำม็อบ และอยู่ระหว่างสอบสวนเพื่อระบุตัวผู้กระทำความผิดที่เหลืออีกประมาณ 150-200 คน”
ปรีโย สัธนา พอร์เตอร์ ศาสนาจารย์ประจำโบสถ์ในเมืองรูร์กี (Roorkee) ระบุว่า เธอจำหน้าคนในม็อบได้เกือบหมด โดยส่วนใหญ่มาจากกลุ่ม ‘บาจรัง ดาล’ ซึ่งเป็นองค์กรเฝ้าระวังของชาวฮินดู
“เราต้องการให้คนพวกนี้ได้รับโทษสถานหนัก” เธอให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไทม์สออฟอินเดีย
ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เกิดเหตุม็อบชาวฮินดูโจมตีโบสถ์คริสต์มาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะที่รัฐฉัตตีสครห์ และมัธยประเทศ ซึ่งเป็น 2 รัฐที่มีชาวชนเผ่าซึ่งถูกจัดเป็นคนชายขอบวรรณะต่ำอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ม็อบฮินดูเหล่านี้อ้างว่า ศาสนาจารย์และนักเคลื่อนไหวชาวคริสต์เข้าไปโน้มน้าวให้ชาวชนเผ่าหลายพันคนเปลี่ยนศาสนา โดยใช้เงินทองหรือสิ่งของอื่นๆ ล่อใจ
ชุมชนชาวคริสต์ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ขณะเดียวกัน ก็ตำหนิพรรครัฐบาลภารติยะชนตะ (BJP) ของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ว่าไม่ให้การปกป้องดูแลชนกลุ่มน้อยเท่าที่ควร
อินเดียมีประชากรราว 1,300 ล้านคน ซึ่งเกือบ 80% นับถือศาสนาฮินดู
นักวิจารณ์ชี้ว่า แรงสนับสนุนจากชาวฮินดูสายฮาร์ดคอร์มีส่วนสำคัญที่ทำให้พรรคของ โมดี คว้าชัยชนะอย่างถล่มทลายในศึกเลือกตั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา
คณะกรรมาธิการว่าด้วยเสรีภาพทางศาสนานานาชาติ (US Commission on International Religious Freedom) ของสหรัฐฯ ระบุไว้ในรายงานประจำปี 2021 ว่า นโยบายชาตินิยมฮินดูที่รัฐบาล โมดี ใช้อยู่มีส่วนกระตุ้นให้เกิดการ “ละเมิดเสรีภาพทางศาสนาอย่างร้ายแรงและเป็นระบบ”
ที่มา : เอเอฟพี