สิงคโปร์เตือนว่าบางทีอาจต้องกลับมากำหนดข้อจำกัดสกัดโควิด-19 อีกรอบ หากว่าไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดระลอกใหมหม่ของตัวกลายพันธุ์เดลตา ที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก ซึ่งเสี่ยงทำให้ประเทศแห่งนี้อาจต้องละทิ้งยุทธศาสตร์อยู่ร่วมกับไวรัส
กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์รายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่รายใหม่ในชุมชน 347 คนเมื่อวันพุธ (8 ก.ย.) สูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2020 หลังจากเพิ่งสร้างสถิติดังกล่าวไปหมาดๆ เมื่อ 1 วันก่อนหน้านี้ ที่จำนวน 328 รายในวันอังคาร (7 ก.ย.)
จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ของสิงคโปร์ เพิ่มขึ้นเท่าตัวในสัปดาห์ที่ผ่านมา จากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุขของประเทศ เพิ่มเป็นมากกว่า 1,200 ราย ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 กันยายน
จนถึงวันพุธ (8 ก.ย.) จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมของสิงคโปร์อยู่ที่ 69,582 ราย เสียชีวิตสะสม 56 คน
ลอว์เรนซ์ หว่อง หัวหน้าทีมเฉพาะกิจสู้โควิด-19 ของสิงคโปร์ ยอมรับว่าไม่ใช่แค่จำนวนเคสผู้ติดเชื้อรายวันเท่านั้นที่สร้างความกังวลแก่รัฐบาลสิงคโปร์ แต่ยังรวมถึงอัตราการที่ไวรัสกำลังแพร่ระบาดด้วย
"เราเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศอื่นๆ ที่เมื่อใดก็ตามเคสผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก จะมีผู้ติดเชื้ออาการหนักในห้องไอซียูเพิ่มขึ้นมาก และมีผู้เสียชีวิตจากไวรัสเพิ่มขึ้นเช่นกัน" เขากล่าว
สิงคโปร์เคยผลักดันนโยบายเชิงรุก "โควิดเป็นศูนย์" ระหว่างโรคระบาดใหญ่ กำหนดข้อจำกัดอันเข้มข้นต่างๆ ปิดร้านอาหาร ปิดพรมแดนและบังคับใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม
แต่ในเดือนมิถุนายน รัฐบาลแถลงแผนเดินหน้าสู่ยุทธศาตร์อยู่ร่วมกับไวรัส ความพยายามควบคุมการแพร่ระบาดด้วยวัคซีนและคอยเฝ้าระวังอัตราผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล แทนการกำหนดมาตรการเข้มข้นที่จำกัดวิถีชีวิตของพลเมือง
"ข่าวร้ายคือโควิด-19 อาจไม่มีวันหายไป ข่าวดีคือมีความเป็นไปได้ที่เราจะใช้ชีวิตตามปกติร่วมกับมันได้" เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านโควิด-19 ของสิงคโปร์ ระบุในข้อเขียนแสดงความคิดเห็น (Op-Ed) เมื่อเดือนมิถุนายน
สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 สูงที่สุดในโลก ด้วยตอนนี้มีประชากรมากกว่า 80% ที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว
ตลอดเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สิงคโปร์เริ่มผ่อนปรนข้อจำกัดสกัดโควิด-19 บางอย่าง อนุญาตให้คนฉีดวัคซีนครบแล้วออกไปรับประทานอาหารค่ำที่ร้าน และรวมกลุ่มกันได้ไม่เกิน 5 คน จากเดิมที่จำกัดแค่ 2 คน
อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดระลอกใหม่ทำให้มาตรการเปิดเศรษฐกิจเพิ่มเติมต้องสะดุดลง และ หว่อง เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (6 ก.ย.) ว่าสิงคโปร์จะพยายามควบคุมการแพร่ระบาดระลอกใหม่ด้วยการติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดเชิงรุกยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับสกัดเคสผู้ติดเชื้อและคลัสเตอร์ต่างๆ
การบังคับตรวจเชื้อแรงงานที่มีความเสี่ยงสูงจะเกิดขึ้นถี่ขึ้น เป็น 1 ครั้งต่อสัปดาห์จากเดิม 2 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้ง และบัญชีแรงงานต่างๆ ที่อยู่ภายใต้คำสั่งบังคับตรวจเชื้อจะถูกขยายให้ครอบคลุมกว่าเดิม โดยจะนับรวมพนักงานห้างค้าปลีก ธุรกิจจัดส่งสินค้าและเจ้าหน้าที่ระบบขนส่งสาธารณะเข้าไปด้วย
สิงคโปร์ยังได้ห้ามการรวมตัวของพนักงานตั้งแต่วันพุธ (8 ก.ย.) เป็นต้นไป และ ว่อง แนะนำประชาชนหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางสังคมต่างๆ ที่ไม่จำเป็น ท่ามกลางความพยายามควบคุมการแพร่ระบาด
เขาระบุมันสะท้อนว่านโยบายใหม่ของสิงคโปร์และอัตราการฉีดวัคซีนระดับสูง ช่วยให้ประเทศสามารถคงระดับการเปิดเศรษฐกิจระหว่างการแพร่ระบาดระลอกใหม่ "แต่แม้เราได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว เราพบว่าเคสผู้ติดเชื้ออาการสาหัสในห้องไอซียูที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เมื่อถึงเวลาเราอาจไม่มีทางเลือกยกเว้นแต่ยกระดับความเข้มข้นในภาพรวม ดังนั้นเราจึงไม่ควรตัดความเป็นไปได้"
(ที่มา : ซีเอ็นเอ็น/รอยเตอร์)