รัฐบาลแห่งชาติและรัฐบาลท้องถิ่นของญี่ปุ่น ยกระดับกดดันโรงพยาบาลต่างๆ ให้รับคนไข้ที่มีผลตรวจไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นบวก ขู่เผยชื่อสร้างความอับอายแก่โรงพยาบาลต่างๆ เหล่านั้น หากไม่ยอมรับคนไข้โควิด-19 หลังเกิดเหตุสุดสลดผู้หญิงตั้งครรภ์รายหนึ่งที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ต้องคลอดลูกเองขณะกักโรคอยู่ที่บ้านเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และสูญเสียทารกน้อยไปอย่างไม่มีวันกลับไม่นานหลังจากลืมตาดูโลก
ว่าที่คุณแม่ในวัย 30 ปีตั้งครรภ์ได้ 29 สัปดาห์ อาศัยในจังหวัดชิบะ ใกล้กรุงโตเกียว ถูกพบว่าติดเชื้อโควิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม หน่วยงานสาธารณสุขประเมินอาการแล้วให้เธอพักรักษาตัวที่บ้าน
หลายวันต่อมา เธอพยายามร้องขอเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เพราะอายุครรภ์มากแล้ว และกังวลว่าอาการจะทรุดลงอย่างกะทันหัน ส่งผลต่อทารกในครรภ์ แต่ไม่มีโรงพยาบาลแห่งไหนยอมรับตัว เนื่องจากโรงพยาบาลต่างๆ ในเมืองคาชิวะ ไม่มีเตียงทำคลอดในแผนกักกันโรค
เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม เธอปวดท้องและตกเลือด จึงเรียกรถพยาบาลเพื่อร้องขอให้ผ่าคลอดโดยด่วน แต่ไม่สามารถหาสถานพยาบาลที่จะรับเธอเข้ารักษาได้ สุดท้ายเธอได้คลอดลูกเองเพียงลำพังที่บ้านในอีก 10 ชั่วโมงต่อมา และทารกที่คลอดก่อนกำหนดเสียชีวิตหลังจากคลอดได้ไม่นาน
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่นยืนยันว่าโรงพยาบาลหลายแห่งปฏิเสธผู้หญิงคนนี้ ซึ่งโหมกระพือเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนทั่วไป เนื่องจากโรงพยาบาลจำนวนมากเคยได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลในระยะแรกๆ ของโรคระบาดใหญ่เมื่อปีที่แล้ว สำหรับดูแลคนไข้ที่มีผลตรวจเชื้อโควิด-19 เป็นบวก
โนริฮิสะ ทามูระ รัฐมนตรีสาธารณสุขของญี่ปุ่นได้พูดคุยกับยูริโกะ โคอิเกะ ผู้ว่าราชการจังหวัดโตเกียวเมื่อวันจันทร์ (23 ส.ค.) หลังจากนั้นได้เผยแพร่ถ้อยแถลงเรียกร้องให้สถาบันทางการแพทย์ทั้งหมดและมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ฝึกหัดเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ ให้ความร่วมมือในการต่อสู้กับไวรัส
ในคำเรียกร้องระบุว่า โรงพยาบาลและคลินิกต่างๆ ทั่วกรุงโตเกียวจำเป็นต้องจัดหาเตียงให้มากที่สุดเท่าที่จำเป็นไปได้สำหรับรักษาผู้ป่วยใน และสถาบันฝึกหัดต่างๆ จำเป็นต้องกระจายกำลังบุคลากรไปยังพื้นที่ต่างๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือ
นอกจากนี้แล้วในคำแถลงยังระบุว่า คำร้องขอครั้งนี้อยู่ภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมายป้องกันโรคติดเชื้อฉบับแก้ไขเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งมอบอำนาจแก่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมากขึ้นสำหรับบังคับโรงพยาบาลเอกชนทั้งหลายให้ทำตามข้อเรียกร้องของพวกเขาระหว่างเผชิญวิกฤตด้านสาธารณสุข เมืองโอซากา และซัปโปโรก็เคยอ้างอิงกฎหมายดังกล่าวในการออกคำร้องขอแบบเดียวกัน แต่หนนี้ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลแห่งชาติให้มันเพื่อกดดันภาคธุรกิจสาธารณสุข
"มันเป็นเรื่องถูกกฎหมายในการทำแบบนั้น และผมอยากบอกว่ามันเหมาะสมอย่างมากที่จะเผยชื่อโรงพยาบาลต่างๆ ที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลแต่ตอนนี้พวกเขาไม่ยอมรับคนไข้โควิด-19" จุน โอคูมูระ นักวิเคราะห์จากสถาบันเมจิ ด้านกิจการต่างประเทศกล่าว
"ผมสงสัยอย่างมากว่ามีการเจรจาต่อรองกันอย่างมากมายในช่วงต้นๆ ของโรคระบาดใหญ่ และรัฐบบาลก็จำเป็นต้องเสนอเงินอุดหนุนแก่โรงพยาบาลต่างๆ เหล่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขากลับไม่เต็มใจรับคนไข้เพิ่มเติม" เขากล่าว
"การเปิดเผยชื่อต่อสาธารณะ ในฐานะผู้บริโภคการบริการด้านสาธารณสุขคนหนึ่ง ผมรู้สึกว่ามันถูกต้องและเหมาะสมแล้ว ที่จะมีการเผยชื่อประณามโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อให้พวกเขากลับสู่ข้อตกลง และผมขอบอกไว้เลยว่ามันจะก่อความเสียหายแก่ชื่อเสียงของพวกเขามากกว่าการที่พวกเขาจะยอมกลับสู่ข้อตกลงแต่โดยดี ผมไม่มีอะไรพูดไปมากกว่านี้" อคูมูระ กล่าว
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในกรุงโตเกียว รายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,447 คนเมื่อวันจันทร์ (23 ส.ค.) ลดลงจากหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ 515 คน อย่างไรก็ตาม พวกผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ามีเคสอีกมากที่ตรวจไม่พบ และตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แท้จริงภายในเมืองหลวงแห่งนี้กำลังคุมไม่อยู่และเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินระดับหายนะ นอกจากนี้แล้วยังเตือนด้วยว่าระบบสาธารณสุของกรุงโตเกียวเสี่ยงต่อการล่มสลาย หากไม่สามารถควบคุมวิกฤตได้
(ที่มา : เซาต์ไชนามอร์นิงโพต์)