เร็วๆ นี้สหรัฐฯ อาจได้เห็นเคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่มากกว่า 200,000 คนในแต่ละวัน สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของตัวกลายพันธุ์เดลตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรดาบุคคลที่ยังไม่ฉีดวัคซีน จากการคาดหมายของผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (NIH) เมื่อช่วงสุดสัปดาห์
"ผมจะแปลกใจหากว่าเราไม่ก้าวผ่านเคสติดเชื้อ 200,000 คนต่อวันในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า และมันน่าเศร้า เพราะเราไม่เคยคิดว่าเราจะกลับไปอยู่ในจุดดังกล่าวอีกครั้ง" นายแพทย์ฟรานซิส คอลลินส์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ในวันอาทิตย์ (15 ส.ค.)
"มันควรเป็นเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ ไม่ใช่สิงหาคม แต่เราอยู่ตรงนี้แล้วกับตัวกลายพันธุ์เดลตา ซึ่งแพร่เชื้อได้ง่ายมาก และมันเป็นสถานการณ์ที่น่าเศร้า เพราะมีประชาชนอีกกว่า 90 ล้านคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน คนเหล่านี้กำลังเป็นเป้าหมายของไวรัสและนั่นคือสถานการณ์ยุ่งเหยิงที่เรากำลังเผชิญ"
เวลานี้จุดหมายปลายทางดังกล่าวยังดูเหมือนอยู่ห่างไกล เพราะจากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮ็อปกินส์ พบว่าจนถึงวันเสาร์ (14 ส.ค.) สหรัฐฯ มีค่าเฉลี่ยผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันในช่วง 7 วันหลังสุด ราวๆ 129,000 คน เพิ่มขึ้นทุกวันมาตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม ขณะที่สหรัฐฯ มีค่าเฉลี่ยเกิน 200,000 คนต่อวันหนหลังสุดต้องย้อนกลับไปในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่วัคซีนโควิด-19 ยังไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างกว้างขวาง
คำเตือนของนายแพทย์คอลลินส์ มีขึ้นในขณะที่ทรัพยากรด้านสาธารณสุขกำลังตกอยู่ในภาวะตึงเครียดอย่างหนัก โรงพยาบาลหลายแห่งประสบปัญหาในการรับมือกับผู้ป่วยหนักที่มีเป็นจำนวนมาก
"ระบบกำลังพังครืน" นายแพทย์โจนาธาน เรเนอร์ นักวิเคราะห์ด้านการแพทย์ของซีเอ็นเอ็น ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์และผ่าตัดแห่งมหาวิยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ระบุว่า "มันไม่ใช่แค่เตียง โรงพยาบาลหลายแห่งสามารถจัดเตียงตามพื้นที่ต่างๆ อย่างเช่นอาคารจอดรถหรือโรงอาหาร แต่มันเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของผู้ดูแลคนไข้ สหรัฐฯ ขาดแคลนพยาบาลไอซียูอย่างที่สุด ดังนั้นการหาเจ้าหน้าที่ผู้ผ่านคุณสมบัติมาดูแลคนไข้อาการวิกฤตจึงเป็นเรื่องยากมากขึ้นเรื่อยๆ"
สืบเนื่องจากคนชรามีอัตราการฉีดวัคซีนในระดับสูงมาก ประชาชนอายุ 65 ปีขึ้นไปได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสแล้วกว่า 90% การแพร่ระบาดระลอกปัจจุบันจึงเล่นงานประชากรวัยหนุ่มสาวอย่างหนัก
อัตราผู้ติดเชื้อรายใหม่ในวัย 30 ปีเศษๆ ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นเกือบ 300% ในเดือนที่ผ่านมา จากการวิเคราะห์ข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (ซีดีซี) และเวลานี้จำนวนผู้ติดเชื้อในวัย 30 ปีเศษที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล นับว่ามากที่สุดนับตั้งแต่โรคระบาดใหญ่เริ่มต้นขึ้นเลยทีเดียว
พวกผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขระบุว่าทางออกคือฉีดวัคซีนประชาชนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากวัคซีนมอบการป้องกันที่ดีต่อการติดเชื้ออาการรุนแรง ขณะที่จนถึงวันอาทิตย์ (15 ส.ค.) มีประชาชนสหรัฐฯ ฉีดวัคซีนครบแล้ว 50.7%
"เวลานี้เราจำเป็นต้องเดินหน้าฉีดวัคซีนต่อไป แม้กระทั่งในรัฐต่างๆ ที่เรามีอัตราส่วนการเข้าฉีดวัคซีนค่อนข้างดี เราจำเป็นต้องมีสัดส่วนประชาชนฉีดวัคซีนอย่างท่วมท้น" นายแพทย์แอนโทนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับรายการ "Face the Nation" ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสในวันอาทิตย์ (15 ส.ค.)
สำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดี (12 ส.ค.) อนุมัติฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่บุคคลที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ซึ่งวัคซีนอาจไม่ก่อการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอย่างพอเพียง
จากนั้นคณะที่ปรึกษาด้านวัคซีนของซีดีซี ในวันศุกร์ (13 ส.ค.) ลงมติเป็นเอกฉันท์ออกคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่บุคคลที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอบางกลุ่ม และทางแพทย์หญิงราเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการซีดีซี ให้การรับรองมติดังกล่าวอย่างรวดเร็ว นั่นหมายความว่าประชาชนสามารถเข้ารับวัคซีนเข็ม 3 ได้ทันที
คาดหมายกันด้วยว่าอาจต้องมีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่บุคคลกลุ่มอื่นๆ เช่นกัน เช่น คนสูงวัย เจ้าหน้าที่ประจำบ้านพักคนชราหรือแม้กระทั่งประชาชนทั่วไป ขณะที่เจ้าหน้าที่บางส่วนกังวลว่าตัวกลายพันธุ์เดลตาอาจสามารถหลบหลีกการป้องกันของวัคซีนได้บางส่วน
(ที่มา : ซีเอ็นเอ็น)
