หน่วยงานสาธารณสุขของอังกฤษเรียกร้องให้หญิงตั้งครรภ์เข้ารับการฉีดซีนต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้มากกว่านี้ หลังจากผลวิจัยแห่งชาติพบว่า เชื้อไวรัสสายพันธ์เดลตาดูเหมือนจะทำให้หญิงตั้งครรภ์เสี่ยงมีอาการรุนแรงมากกว่าคนปกติ
เมื่อวันศุกร์ (30) แจ็กเกอรีน ดังค์ลีย์-เบนต์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายผดุงครรภ์แห่งอังกฤษ เขียนจดหมายถึงแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปและพยาบาลผดุงครรภ์ เรียกร้องให้พวกเขารณรงค์ฉีดวัคซีนให้หญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่า หญิงตั้งครรถ์ที่เข้าโรงพยาบาลเพราะติดโควิด-19 มีความรุนแรงของอาการเพิ่มมากขึ้น
เธอระบุว่า เธอกำลังเรียกร้องให้หญิงตั้งครรภ์ทั้งหลาย "ปกป้องตัวเองและลูกของพวกเธอ"
สถาบัน Royal College of Obstetricians and Gynaecologists (RCOG) และ Royal College of Midwives ก็ออกคำแนะนำเรื่องการฉีดวัคซีนให้หญิงตั้งครรภ์ด้วย
หน่วยงานสาธารณสุขอังกฤษ ระบุว่า พวกเขาแนะนำให้หญิงตั้วครรภ์รับวัคซีนโมเดอร์นาและไฟเซอร์ เนื่องจากมันถูกฉีดให้หญิงตั้งครรภ์กว่า 160,000 คนในสหรัฐฯ แล้ว
เอกสารอ้างอิงข้อมูลแห่งชาติที่ได้รับอนุญาตจาก UK Obstetric Surveillance System ซึ่งเผยแพร่ออนไลน์เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พบว่า สัดส่วนของหญิงตั้งครรภ์ที่เข้าโรงพยาบาลด้วยการติดเชื้อปานกลาง-ร้ายแรงเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากเชื้อสายพันธุ์เดลตากลายเป็นเชื้อหลักที่แพร่ในเดือนพฤษภาคม
งานวิจัยของทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด พบว่า หญิงตั้งครรภ์ที่เข้าโรงพยาบาลในช่วงระลอกเดลตามีแนวโน้มเป็นโรคปอดบวมมากกว่า และหนึ่งในสามต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
หญิงตั้งครรภ์กว่า 3,000 คนที่เข้าโรงพยาบาลจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ไม่มีใครเลยที่เคยได้รับการฉีดวัคซีน งานวิจัยระบุ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ไม่ได้ตรวจสอบหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการเล็กน้อยและรับการรักษานอกโรงพยาบาล
ในสัปดาห์นี้ หัวหน้าฝ่ายวัคซีนขององค์การอนามัยโลก เคท โอไบรอัน กล่าวว่า การตั้งครรภ์เป็นภาวะที่ยิ่งทำให้เสี่ยงต่อการมีอาการร้ายแรง
"มันทำให้คุณตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้น และมันจะยิ่งเสี่ยงมากขึ้นอีกเมื่อคุณมีไขมันหน้าท้องและปอดของคุณทำงานได้น้อยลง" เธอกล่าว ระหว่างการไลฟ์ตอบคำถามทางสื่อสังคมออนไลน์ "มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่หญิงตั้งครรภ์จะต้องเข้าใจความสำคัญของการฉีดวัคซีน"
