กองทัพจีน “ขับไล่” เรือรบอเมริกันออกนอกน่านน้ำใกล้หมู่เกาะพาราเซลเมื่อวันจันทร์ (12 ก.ค.) หรือหนึ่งวันหลังจากรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เทศนาพญามังกรอย่าริอ่านโจมตีฟิลิปปินส์ในทะเลจีนใต้ วันเดียวกันนั้น ปักกิ่งยังประกาศจะตอบโต้มาตรการล่าสุดของวอชิงตันที่ขึ้นบัญชีดำบริษัทจีนเพิ่มอีกกว่าสิบรายด้วยข้อกล่าวหาว่า รู้เห็นเป็นใจช่วยกดขี่มุสลิมอุยกูร์ และชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ในซินเจียง
กองบัญชาการยุทธบริเวณภาคใต้ของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (พีแอลเอ) แถลงว่า เรือยูเอสเอส เบนโฟลด์ เข้าสู่น่านน้ำใกล้หมู่เกาะพาราเซลโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของจีนอย่างร้ายแรง อีกทั้งยังบ่อนทำลายเสถียรภาพของทะเลจีนใต้ จึงขอให้อเมริกายุติการยั่วยุในลักษณะนี้ทันที
อย่างไรก็ดี กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ออกคำแถลงตอบโต้ในวันเดียวกันว่า เรือเบนโฟลด์ ซึ่งเป็นเรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถีของตน มีสิทธิและเสรีภาพในการแล่นผ่านบริเวณดังกล่าวภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ และการดำเนินการนี้เป็นการยืนยันว่า การอ้างสิทธิของจีนไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ทั้งจีน ไต้หวัน และเวียดนามต่างอ้างสิทธิในบริเวณหมู่เกาะพาราเซล เช่นเดียวกับหมู่เกาะ แนวปะการัง และเกาะปะการังอีกมากมายในทะเลจีนใต้ ที่บรูไน จีน มาเลเซีย และฟิลิปปินส์อ้างสิทธิทับซ้อนกัน โดยที่จีนอ้างสิทธิเหนือทะเลจีนใต้เกือบทั้งหมด
เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2016 ศาลอนุญาโตตุลาการถาวรในกรุงเฮก ตัดสินว่า จีนไม่มีสิทธิทางประวัติศาสตร์เหนือทะเลจีนใต้ตามที่กล่าวอ้าง รวมทั้งระบุว่า จีนแทรกแซงสิทธิของเรือประมงฟิลิปปินส์ในบริเวณหมู่เกาะปะการังสกาโบโรห์ และละเมิดอธิปไตยของฟิลิปปินส์ด้วยการสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซใกล้รีดแบงก์ ทว่า ปักกิ่งซึ่งไม่ยอมรับอำนาจการพิจารณาของศาลอนุญาโตตุลาการมาตั้งแต่ต้น และไม่เข้าร่วมในกระบวนการพิจารณาคดีเลย ได้เพิกเฉยต่อคำวินิจฉัยดังกล่าว
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันอาทิตย์ (11) แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้แถลงว่า เสรีภาพทางทะเลเป็นผลประโยชน์ที่ยั่งยืนของทุกประเทศ และไม่มีกฎกติกาทางทะเลที่ใดที่ถูกคุกคามมากไปกว่าในทะเลจีนใต้อีกแล้ว พร้อมสำทับว่า จีนยังคงข่มขู่คุกคามประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเสรีภาพในการเดินเรือในทะเลจีนใต้อย่างต่อเนื่อง
ในคำแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรในวาระครบรอบปีที่ 5 ของคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการถาวรในกรุงเฮก บลิงเคนยังย้ำเตือนจีนว่า การโจมตีฟิลิปปินส์ในทะเลจีนใต้จะทำให้อเมริกาต้องดำเนินการภายใต้สนธิสัญญาความร่วมมือทางทหารอเมริกา-ฟิลิปปินส์ปี 1951 ที่กำหนดให้สองชาติให้ความช่วยเหลือกันหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเผชิญอันตรายต่อสันติภาพและความปลอดภัย
ความขัดแย้งระหว่างสองมหาอำนาจยังปะทุขึ้นในประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง ซึ่งเป็นเขตปกครองตนเองที่มีฐานะเทียบเท่ามณฑลตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกของจีน โดยวันศุกร์ที่ผ่านมา (9) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีจีนอีก 14 แห่ง ด้วยข้อหาว่าช่วยเหลือให้รัฐบาลจีนกดขี่ กักขัง และสอดแนมมุสลิมอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ในซินเจียง รวมทั้งบริษัทอีก 5 แห่งที่ให้ความช่วยเหลือกองทัพจีน
คำสั่งนี้เท่ากับว่า บริษัทอเมริกันจะไม่สามารถขายอุปกรณ์หรือสินค้าอื่นๆ ให้บริษัทจีนเหล่านี้
ต่อมาเมื่อวันอาทิตย์ กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงว่า จะดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อตอบโต้การกระทำล่าสุดของอเมริกาซึ่งเป็นการขัดขวางบริษัทจีนอย่างไร้เหตุผล และยังละเมิดกฎเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง
จีนปฏิเสธข้อกล่าวหากักกันและบังคับใช้แรงงานมุสลิมและชนกลุ่มน้อยในซินเจียงมาตลอด และยังตอบโต้มาตรการแซงก์ชันของอเมริกาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี คำแถลงล่าสุดของกระทรวงพาณิชย์จีนนั้นไม่ได้ให้รายละเอียดว่าจะตอบโต้วอชิงตันอย่างไร
(ที่มา : รอยเตอร์, เอเอฟพี, เอพี)